วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

บทที่ 5 การปฏิบัติเมื่อเกิดโรคระบาด

บทที่ 5
การปฏิบัติเมื่อเกิดโรคระบาด

วิธีการปฏิบัติเมื่อเกิดโรคระบาด
หลักปฏิบัติเมื่อมีโรคระบาดเกิดขึ้น การปฏิบัติของผู้เลี้ยงเมื่อมีโรคระบาดเกิดขึ้นในฟาร์มนั้นนับว่ามีความสำคัญ อย่างยิ่ง ในการป้องกันโรคไม่ให้แพร่ระบาดออกไปอีก ในที่นี้จะขอกล่าวเป็นข้อ ดังนี้
การสังเกตลักษณะอาการที่ปกติ
ผู้เลี้ยงสัตว์ที่ดีนั้นต้องหมั่นเฝ้าดูการกินอาหาร และน้ำ และการให้ผลผลิตอยู่ตลอดเวลาแต่อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ คอยสังเกตดูลักษณะอาการท่าทาง ที่ปกติของสัตว์ในฝูงไว้ให้ดี ซึ้งถ้ามีอาการที่ผิดปกติไปจากที่เคยเห็นประจำก็สามารถลงความเห็นได้ว่า สัตว์ในฝูงมีอาการที่ผิดปกติซึ่งอาจเกิดจากโรคก็ได้ ผู้เลี้ยงความปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไป
1. ตรวจสอบว่าเกิดจากโรคติดต่อหรือไม่
มีบ่อยครั้งเหมือนกันที่ผลจากการวินิจฉัยาโรคจากห้องปฏิบัติการปรากฏไม่ได้เกิดจากโรคติดต่อ แต่เป็นผลเนื่องมาจาก การจัดการ เช่น ไก่มีการตัดปากที่ผิดวิธี การกินวัสดุปูพื้น และ เศษวัตถุต่าง ๆ
การอดอาหาร และน้ำ , การหนาวสั่นในลูกไก่ บาดแผลจากการจับที่รุนแรง หรือจากเครื่องมือชนิดอัตโนมัติ หรือ จากการฉีดยา ความล้มเหลวในด้านการให้แสง การจิกกันของไก่ การสำลักควัน เลี้ยงสัตว์ในคอกแน่นเกินไป ให้อาหารน้อยไป ใช้รางอาหารรางน้ำน้อยไป ไม่พอสำหรับจำนวนสัตว์ การระบายอากาศไม่ดี อาหารที่ใช้เลี้ยงมีคุณค่าทางอาหารต่ำ สภาพต่าง ๆ เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องส่งไปตรวจยังห้องปฏิบัติการแต่อย่างใด สำหรับพยาธิภายนอก ( เช่น ตัวหมัด ,เหา, หิด,เห็บ เป็นต้น) ผู้เลี้ยงสามารถตรวจดูรู้ได้โดยตัวเอง
2. ให้แยกกักกันสัตว์ป่วย
จากการตรวจดูถ้าแน่ใจแล้วว่าสภาวะที่เกิดกับสัตว์ในฝูงไม่ได้มีปัจจัยเกี่ยวกับการจัดการ มาเกี่ยวข้องแล้ว ขั้นต่อไปก็ให้ตั้งต้นกักกันคอก โรงเรือน บริวณฟาร์ม ทั้งนี้ให้ขึ้นอยู่กับลักษณะของฟาร์มเป็นสำคัญ ถ้าเป็นไปได้ก็ให้แยกคนเลี้ยงในฝูงสัตว์ที่ป่วย ไม่ให้ไปยุ้งกับสัตว์ในฝูงหรือคอกที่ปกติ และให้เปลี่ยนเสื้อผ้ารวมทั้งรองเท้าตัวใหม่ หรือคู่ใหม่ทุกครั้ง ระหว่างเข้าคอกแต่ละคอก ถ้าแยกไม่ได้จริง ๆ ก็ให้ผู้เลี้ยงเข้าคอกสัตว์ป่วยสุถดท้ายหลังจากเข้าคอกสัตว์ปกติแล้ว
3. ส่งตัวอย่างโรคหรือติดต่อเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์โดยตรง
ผู้เลี้ยงหรือเจ้าของหรือเจ้าหน้าที่บริการจากบริษัท ควรที่จะได้ส่งตัวอย่างของโรคไปตรวจยังห้องปฏิบัติการวินิจฉัยโรค หรืออาจติดต่อกับเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ทางด้านโรคสัตว์ให้มาช่วยตรวจสัตว์คอกหรือฝูงที่ป่วย
4. ให้การวินิจฉัยโรคโดยทันที
เป็นสิ่งที่สำคัญในการที่จะวินิจฉัยโรคโดยทันที ซึ่งที่ระยะเวลาในการวินิจฉัยที่ขึ้นอยู่กับโรคที่เกิดขึ้นเป็นสำคัญ การวินิจฉัยโรค โดยการผ่าซากบางครั้ง ถ้าผู้วินิจฉัยโรคมีความชำนาญก็อาจจะทราบได้ว่าสัตว์เป็นโรคอะไร แต่บ่อยครั้งที่จำเป็นต้องทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันให้แน่นอนอีกครั้ง
5. ให้การระมัดระวังเป็นพิเศษ
ในกรณีที่สัตว์ป่วยเป็นโรคที่สงสัยหรือได้วินิจฉัยแล้วว่าเป็นโรคที่สำคัญอันตรายต่อมนุษย์ เช่น โรค ไข้หวัดนก , โรคอีรอชีฟีแอส และการติดเชื้อรา ก็ให้ผู้เลี้ยงและผู้ตรวจเพิ่มความระมัดระวังเป็นกรณีพิเศษ สำหรับในต่างประเทศ บางประเทศนั้น ถ้าปรากฏว่า มีไข้หวัดนก การติดเชื้อชาลโมเนลล่า , โรคกล่องเสียงอักเสบ เกิดขึ้นเมื่อใด ก็ตามผู้เลี้ยง หรือเจ้าของต้องแจ้งให้ทางราชการที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคสัตว์ทราบทันที ทันใด มิฉะนั้นถือว่าเป็นความผิด
6. การใช้ยารักษา
ไม่ควรใช้ยารักษาก่อนที่จะได้มีการวินิจฉัยโรคที่แน่นอน หรือได้ปรึกษากับเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ ที่ชำนาญทางด้านโรคสัตว์เสียก่อน การใช้ยาที่ผิดหรือไม่ถูกต้องโรคนั้น แทนที่จะเสียเงินเสียทองโดยไม่คุ้มแล้ว ทำให้เป็นอันตราย หรือเป็นภัยวิบัติตามมาก็ได้ ถ้าผลการวินิจฉัยโรคว่าเกิดจากโรคติดต่อ ก็ให้ใช้ยาทำการรักษาทันที โดยให้ใช้ตามาคำแนะนำ ในต่างประเทศมีหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่ในการให้ความรู้ในการใช้ยาต่าง ๆ ในการรักษาโรคโดยเฉพาะ ทั้งนี้เพราะว่ามียาหลายชนิดถ้านำมาใช้กับสัตว์แล้วฤทธิ์ของยาจะตกค้างอยู่ในผลผลิตของมัน เช่น ในไข่ และในเนื้อได้ ดังนั้นผู้ใช้จึงต้องทำความเข้าใจกับยาชนิดต่าง ๆ ให้ดี และเข้าใจเสียก่อน
ถ้าเกิดโรคระบาดกับฝูงสัตว์หรือในคอกพ่อแม่พันธุ์ ซึ่งสามารถแพร่ระบาดผ่านสู่ลูกได้ เช่นผ่านทางไขฝัก ได้แก่ โรคซาลโมเนลโลซีส , ไมโคพลาสโมซีส , โรคเยื่อหุ้มสมองอับเสบ (ไข่ที่ได้จากฝูงพ่อแม่พันธุ์ ไม่ควรนำมาใช้สำหรับฟัก ให้พึงระลึกอยู่เสมอว่า ฤทธิ์ของยาที่ใช้ในการรักษาพ่อแม่พันธุ์ที่ป่วย อาจจะตกค้างด้วย ผ่านสู่ไขและบางครั้งบางคราวอาจจะทำให้เกิดความผิดปกติต่อตัวอ่อนในไข่ได้เหมือนกัน)
7. ทำลายสัตว์ป่วย ที่มีโอกาศหายจากโรค
สัตว์ที่ป่วย หรือ พิการในคอก ควรจะฆ่า ทำลายโดยต้องไม่ให้เลือด หรือ เอ็กซูเดท ( exudate ) แพร่กระจาย สัตว์ที่ตายเนื่องจากโรคหรือ ที่ได้ฆ่าให้ตายให้จัดการกำจัดทิ้งโดยการ เผา หรือ ฝัง ให้ถูกหลักวิชาการ

การปฏิบัติเมื่อเกิดโรคระบาด
การทำความสะอาดโรงเรือนและการใช้ยาฆ่าเชื้อโรค
การทำความสะอาดโรงเรือนคอกสัตว์ และอุปกรณ์ภายในโรงเรือนเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมีการทำอยู่เสมอ ๆ เป็นกิจวัตร ครั้งนี้เพื่อทำลายเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เพิ่มจำนวนขึ้นในแต่ละวัน และเป็นการกำจัดของเสีย และสิ่งเหลือใช้ที่อาจเป็นพิษต่อสัตว์ได้ การทำความสะอาดควรจะทำทุกซอกทุกมุมเท่าที่จะเป็น
ไปได้ เพื่อให้เชื้อโรคและสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ถูกกำจัดหมด ผู้ที่จะทำความสะอาดควรฝึกนิสัย ให้เป็นคนรักงาน มีความละเอียดรอบคอบและรู้จักใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ อีกด้วย
การใช้ยาฆ่าเชื้อโรคซึมเข้าถึงตัวเชื้อโรคได้ ยาฆ่าเชื้อโรคจะออกฤทธิ์ได้เต็มาที่เชื้อโรคบางชนิดมีระบบป้องกันอันตรายของตัวมันเอง เช่น มีสารฉาบอยู่ที่ผิว ทำให้ไม่เปียกน้ำ ใน กรณีเช่นนี้ เราควรใช้สารที่ทำให้เปียกน้ำด้วยเรียกว่า Wetting agent เช่น สบู่ ผงซักฟอก การใช้ยาฆ่าเชื้อโรคก็เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยความรู้ด้วย ตามปกติควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด จึงจะทำให้การใช้ได้ผลดีที่สุด
อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการทำความสะอาดโรงเรือน
1. ไม้กวาดพื้นและเพดาน , ไม้กวาดทางมะพร้าว
2. แปรงถูพื้นแบบต่าง ๆ
3. ถังน้ำ
4. สายยาง
5. เศษผ้า
6. ฟองน้ำ
7. พลั่ว
8. รถเข็นขยะมูลฝอย
9. สบู่ ผงซักฟอก
10. รองเท้าบูท
ขั้นตอนในการทำความสะอาดโรงเรือน
1. จัดเตรียมอุปกรณ์การทำความสะอาดโรงเรือน
2. เตรียมตัวให้พร้อมเช่น เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย, สวมรองเท้า , ใส่หมวก เป็นต้น
3. เก็บอุปกรณ์และเครื่องใช้ต่าง ๆ ให้เป็นระเบียบเข้าที่
4. กวาดพื้นและเพดาน ซ่อมแซมส่วนที่ชำรุด
5. เก็บขยะมูลฝอย , อุจจาระ , เศษอาหาร
6. ใช้น้ำฉีดพ่นพร้อมกับใช้แปรงหรือไม้กวาดทางมะพร้าวล้างให้ทั่วทุกมุกคอก
7. ใช้สบู่ หรือ ผงซักฟอก ละลายน้ำแล้วทำการล้างให้ทั่ว
8. ทำการล้างด้วยน้ำเปล่าอีกครั้งหนึ่ง
หมายเหตุ การทำความสะอาดคอกสัตว์ควรทำหลังจากในคอกสัตว์ไม่มีสัตว์แล้ว การใช้น้ำ , ใช้สารเคมีให้พิจารณาใช้เมื่อจำเป็น นอกจากนี้ไม่ควรใช้กับสัตว์บางประเภท เช่น ลูกสัตว์ เป็นต้น
ยาฆ่าเชื้อโรคที่ใช้ประจำในคอกสัตว์ ยาฆ่าเชื้อโรคมีมากมายหลายชนิด ยาฆ่าเชื้อโรคที่ดีควรมีลักษณะ ดังนี้
1. ราคาถูกแต่มีคุณสมบัติดี
2. คงทนออกฤทธิ์ ได้นานไม่เสื่อมสลายได้ง่ายเมื่อผสมน้ำ
3. ไม่มีอันตรายต่อคนและสัตว์
4. ใช้ง่ายสะดวก วิธีการไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องใช้เครื่องมือมาก
5. ไม่มีฤทธิ์กัดกร่อนจนสามารถทำลายอุปกรณ์และคอกสัตว์
6. หาซื้อง่าย
7. กลิ่นดีไม่เหม็นติดเครื่องใช้ต่าง ๆ
8. ออกฤทธิ์ได้กว้างขวาง ทำลายเชื้อโรคได้หลายชนิดและออกฤทธิ์ได้ดีที่อุณหภูมิได้ดี
9. ไม่ค่อยสะสมหรือมีฤทธิ์ตกค้าง ในร่างกายสัตว์นาน
10. เมื่อใช้แล้วไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อผลิตผลจากสัตว์
11. สามารถใช้ได้กับสัตว์ทุกชนิดทุกอายุ
12. มีความเข้มข้น
แม้ว่าจะไม่มียาใดที่มีคุณสมบัติครบทุกข้อก็ตามแต่กฏเกณฑ์ดังกล่าวนี้ ควรจะยึดถือเป็นแนวการพิจารณา
ยาฆ่าเชื้อโรคที่พบบ่อย ๆ มีดังนี้
1. Phenol หรือ Carbolic สารเคมีนี้ได้จากน้ำมันถ่านหิน (Coal tar ) ยานี้ส่วนมากมีขายในรูปสารละลาย แต่เนื่องจากราคาแพงจึงไม่แพร่หลายทั่วไปสารละลายเข้มข้น 2 % จะเป็นยาฆ่าเชื้อโรคสำหรับบาดแผล แต่ถ้าความเข้มข้นมากกว่านี้ จะกัดผิวหนัง
2. Crude Carbolic acid เป็นส่วนผสมของ Phenol cresol และสิ่งเจือปนอื่น ๆ ประโยชน์ของยานี้ขึ้นอยู่กับเปอร์เซนต์ของ Cresol ที่ผสมอยู่เนื่องจากส่วนผสมไม่แน่นอนจึงไม่นิยมใช้มากนัก แต่บางคนใช้ปราบ เหา ไร ได้ดี
3. Cresol ลักษณะเป็นของเหลวข้น สีเหลืองหรือสีน้ำตาล ผสมน้ำได้ แต่ละลายน้ำได้เล็กน้อย สารละลาย Cresol ประกอบด้วย
Cresol 500 gm
น้ำมันสน 350 gm เติมน้ำให้ครบ 1,000 gm
Potassium Hydrate 80 gm
อัตราส่วนที่ใช้สารละลาย 4 ออนซ์ ต่อน้ำ 1 แกลลอน
4. Coal tar เป็นพวกผลิตภัณฑ์จาก Cresol เป็นสารแขวนลายสีขาวขนาดใช้ดูจากคำแนะนำ
5. Chlorine gas เป็นสารฆ่าเชื้อโรคที่อยู่ในรูปของ Hypochloride ถ้าใช้ถูกต้องตามคำแนะนำจะมีประสิทธิภาพมาก แต่ยานี้มีข้อเสียที่ว่าละลายตัวได้ง่ายเมื่อถูกอากาศหรือ อินทรีย์วัตถุต่าง ๆ ราคาแพง มักนิยมใช้ฆ่าเชื้อตู้ฟัก เครื่องฟัก รางน้ำ และรางอาหาร
6. Chlorinated Lime เรารู้จักสารนี้ในรูปของผงฟอกสี ได้จากเดิม Cl2 ลงในปูนสุก มี Cl2 ประมาณ 30 – 35 % ในการใช้ยาฆ่าเชื้อควรจะให้มีความเข้มข้นของ Cl2 ประมาณ 1 – 2 % โดยน้ำหนัก
7. Quick Lime ( Cao) ในการฆ่าเชื้อมักผสมกับ Chlorinated Lime ปูนนี้นิยมผสมลงในปุ๋ยคอกเพื่อฆ่าเชื้อ Samonella และ Pasteurella
8. Lye เป็นตัวทำความสะอาดได้ดีเลิศและมีคุณภาพดี ในการฆ่าเชื้อด้วยสารละลายของ Sodium hydroxyl 2 % เป็นอัตราส่วนพอเหมาะกับการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่าง ๆ ได้ เนื่องจากเป็นสารที่กัดผิวหนัง ดังนั้นจึงควรใช้อย่างระมัดระวัง
9. Pomaldehyde สารนี้เป็น Gas ขายกันในรูปของฟอร์มาลิน จึงมีตัวยาละลายอยู่ประมาณ 40 % ในการใช้ฉีดฆ่าเชื้อโรคต้องผสมน้ำให้มีความเข้มข้น 10 % ก็พอ ข้อเสียของยานี้ก็คือ ระเหยง่ายกลิ่นฉุนและกัดผิวหนัง แต่ข้อดีมีมาก เช่น สามารถใช้ในรูปของ gas หรือ ไออบห้องเล็ก ๆ เช่น ห้องฟักได้ดี ไม่ทำอันตรายต่อเครื่องใช้มีประสิทธิภาพสูง
10. Copper Sulfate เป็นยาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพต่อเชื้อโรค และสำหรับบางชนิดความเข้มข้น 0.5 % ก็สามารถฆ่าเชื้อในรางน้ำ รางอาหาร และบริเวณที่เลี้ยงสัตว์ ที่มีการระบาดของเชื้อโรคได้ ส่วนมากไม่ใช้อย่าง
กว้างขวาง แต่ควรใช้หลังจากการวินิจฉัยโรคเสียก่อน
11. Potassium Permanganate ด่างทับทิม เป็นยาฆ่าเชื้อที่ดี นิยมใช้ทำความสะอาดเต้านม ก่อนจะรีดหรือ ผสมลงในน้ำดื่มเพียงเล็กน้อยเพื่อฆ่าเชื้อ เนื่องจากด่างทับทิมกัดพวกโลหะ ดังนั้นควรจะอยู่ในภาชนะเคลือบขนาดขนาดที่ใช้ประมาณ 1 ช้อนชาต่อ น้ำ 1 แกลลอน
12. Sodium Orthoheny Phenate ไม่มีกลิ่นหน้ารังเกียจ สีเทา หรือ ขาว หรือ น้ำตาล ละลายน้ำได้ง่าย ต้องเก็บในขวดอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันการระเหย พบว่าใช้ฆ่าพวกเหา ไร ได้ดีมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออุ่นให้ร้อน
13. Sodium hydroxide โซดาไฟเป็นยาฆ่าเชื้อที่สามารถฆ่าเชื้อได้หลายชนิด เช่นโรคแท่งติดต่อ เชื้อไวรัส เชื้ออหิวาต์ ใช้ฆ่าเชื้อภายในคอกบริเวณคอกได้ดี
14. Iodine ไอโอดีนมีประสิทธิภาพดีแต่ทว่ามีราคาแพง ยาทิงเจอร์ไอโอดีนเป็นยาฆ่าเชื้อดีมาก สำหรับบาดแผล ผิวหนัง แต่ห้ามใช้ดื่มกิน
15. Murcuric chloride แม้จะมีประสิทธิภาพดีในการฆ่าเชื้อ แต่ทว่ามีราคาแพง เป็นพิษและกัดโลหะ นิยมใช้ในอัตราส่วน 1 ต่อ 1000 (ในน้ำ) แต่ใช้ไม่ค่อยดี เมื่อถูกกับพวกสารอินทรีย์ ดังนั้นจึงไม่นิยมฆ่าเชื้อในโรงเรือน หรือ วัตถุรองพื้น
16. Quaternary ammonium Compound เป็นสารที่ใสไม่มีกลิ่น ไม่กัดผิวหนังและยังทำความสะอาดสิ่งของได้ด้วย นิยมใช้ทำความสะอาดไข่ หรือ บริเวณโรงฟักทั่วไป แต่อย่าใช้ปะปนกับสารละลายสบู่
17. แสงแดดเป็นตัวฆ่าเชื้อโรคได้ดีที่สุดเท่าที่ทราบกัน ดังนั้นการสร้างโรงเรือน จึงควรนึกถึงหลักข้อนี้ด้วยอุปกรณ์บางอย่าง ต้องทำความสะอาดก่อนที่จะผึ่งแดด บางครั้งจึงเป็นอุปสรรค บ้าง
18. น้ำร้อน (Hot water) น้ำร้อนช่วยเร่งปฏิกิริยาของยาฆ่าเชื้อหลายชนิดน้ำเดือดอย่างเดียวก็สามารถฆ่าเชื้อได้
19. ความร้อนแห้ง (Dry heat) อาจใช้ในรูปของเปลวไฟไปสัมผัสเชื้อโรค แต่พบว่าวิธีนี้ ไม่ค่อยปลอดภัย การฆ่าเชื้ออาจไม่ทั่วถึง
หมายเหตุ
นอกเหนือจากใช้ยาแล้ว การฆ่าเชื้อโรคยังอาจใช้วิธีอื่นได้อีก เช่น ใช้น้ำร้อน แสงแดด แสงอุลตราไวโอเลต Infrared ความร้อนแห้ง (dry heat) Pasteeurisation เป็นต้น

บทที่ 4 การทำลายเชื้อโรค

บทที่ 4
การทำลายเชื้อโรค

การทำลายเชื้อโรคโดยวิธีต่าง ๆ
หลักในการฆ่าเชื้อ
1. ทำความสะอาดสิ่งของที่เราต้องการฆ่าเชื้อให้สะอาดเสียก่อน
2. ควรใช้ยาให้ทั่วบริเวณที่ต้องการฆ่าเชื้อ
3. การทำให้น้ำยาเจือจางต้องปฏิบัติตามคำแนะนำให้เคร่งครัด
4. อุณหภูมิเป็นสิ่งหนึ่งที่ควรพิจารณา เพราะยาฆ่าเชื้อส่วนใหญ่จะมีประสิทธิภาพสูงเมื่ออุณหภูมิสูง
5. เลือกใช้ยาฆ่าเชื้อให้เหมาะสมเช่น ไม่ควรใช้ยาฆ่าเชื้อร่วมกันกับการทำวัคซีน
การใช้ยาฆ่าเชื้อทำลายเชื้อโรคต่อ (Infected materials)
คำว่า Infected Materials หมายถึง วัตถุหรือสิ่งของเครื่องมือเครื่องใช้ตาง ๆ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น ซาก หรือส่วนแห่งซากสัตว์ , เนื้อ กระดูก เขา ขน หนัง น้ำมัน ไข่ สิ่งต่าง ๆ ที่ขับออกจากร่างกายสัตว์ และรวมตลอดถึงโรงเรือน คอกสัตว์ ตลาด ยวดยานพาหนะ ฯลฯ ซึ่งติดเชื้อมาจากสัตว์ หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ที่เป็นโรคระบาด
วิธีการทำลายเชื้อโรค
แบ่งออกได้เป็น 2 ข้อใหญ่ คือ วิธีการทำลายเชื้อโรคโดยทาง ฟิสิกส์ ( Physical disinfectant ) และวิธีการทำลายเชื้อโรคโดยการใช้สารเคมี ( Chemical disinfection )
1. วิธีการทำลายเชื้อโรคโดยทางฟิสิกส์
หมายถึง การกวาด ถู ล้าง พวกเชื้อโรคออกไป คือ การทำความสะอาดนั่นเอง และ รวมถึงความร้อนจากแสงอาทิตย์ , ความแห้ง , ความร้อนสูงจากแหล่งกำเนิดอื่น ๆ เป็นต้น แสงอาทิตย์มีคุณสมบัติเป็น Disinfectant เพราะมีแสงอุลตราไวโอเลท (Ultra violet rays)
การใช้ความร้อนสูงมาก ๆ จะทำลายเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี การใช้ความร้อนแบ่งเป็น Dry heat และ Moist heat แต่นิยมใช้ Mosit heat เช่นน้ำเดือดหรือไอน้ำเดือดกันมากกว่า เพราะให้ผลในการทำลายเชื้อโรคดีกว่า การต้มเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ได้ผลดีในการทำลาย Vegetative from ของ แบคทีเรีย แต่ไม่ค่อยได้ผลในการทำลายสปอร์ของแบคทีเรีย (Bactenial spore ) นอกจากจะต้มให้เดือดเป็นเวลานาน ๆ เศษอาหารต่าง ๆ ที่นำไปเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะสุกรซึ่งเจ้าของสัตว์ในบ้านเรานิยมกันมากเพราะหาง่ายและราคาถูกกว่าการใช้อาหารผสมเลี้ยง เช่น ได้เศษอาหารจากโรงเรือน โรงพยาบาล ร้านอาหาร ต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งเศษอาหารเหล่านี้อาจมีเชื้อโรคหลายอย่างปะปนอยู่ เช่น ไวรัส ของโรคปากและเท้าเปื่อย , โรคอหิวาห์สุกร, โรคนิวคาสเซิล , หรือแบคทีเรียพวก Salmonalla speciec ต่าง ๆ ดังนั้นการใช้เศษอาหารเลี้ยงสัตว์จึงจำเป็นต้องต้มให้เดือดประมาณ 1 ชั่วโมงแล้วจึงนำไปเลี้ยง เครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับโคนม มักนิยมฆ่าเชื้อโรคโดยการพ่นด้วยไอน้ำเดือด ซึ่งให้ผลดีในการทำลายเชื้อโรคทั่วไป แต่ไม่ได้ผลสำหรับสปอร์ของแบคทีเรียบางชนิด
การพาสเจอไรซ์ น้ำนมใช้ความร้อน 142 - 149 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ ( 62 – 65 องศาเซ็นเซียส) นาน 30 นาที หรือใช้ความร้อน 159.8 – 161.6 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ (71 – 72 องศาเซ็นเซียส) นาน 15 วินาที โดยวิธีนี้จะสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดวัณโรค และ บรูเซลโลซิสได้ แต่ถ้าเรา สเตอร์ริไลซ์น้ำนม โดยเพิ่มอุณหภูมิจนถึงจุดเดือดจะสามารถฆ่า Vegetative Microoganisme ได้ทั้งหมด
2. วิธีการทำลายเชื้อโรคโดยใช้สารเคมี
หมายถึง การใช้ยาฆ่าเชื้อโรค ( Disinfectant ) ต่าง ๆ ยาฆ่าเชื้อโรค คือ สารใด ๆ ก็ตามซึ่งเมื่อไปสัมผัสกับเชื้อโรคแล้ว จะเข้าไปทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีกับเชื้อโรคนั้นแล้วทำให้เชื้อโรคนั้นตาย
การทำลายเชื้อโรคตามบ้านเรือน คอกสัตว์ และเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ นิยมใช้สารเคมีกันมาก เช่น ครีโซล (Cresol ) และ ไลโซล (Lysol) ซึ่งเป็น Coal tar derivatives นอกจากนี้ก็มีพวก ฮาโลเจน (Halogen) ฟอร์มาติไฮต์ , แอมโมเนีย , แอมโมเนียมคอมบาวนด์ โซเดียมคาร์บอเนต เป็นต้น
ยาฆ่าเชื้อโคลทาร์ (Coal tar disinfectant)
นิยมใช้กันมากเพราะราคาถูก และมีอำนาจในการทำลายเชื้อแบคทีเรีย , สปอร์ และไวรัส แต่ Penetration power มีน้อย สำหรับการทำลายเชื้อโรคในตู้ฟักนิยมใช้ในรูปของแก๊ส โดยเอา โปรแตสเซี่ยมเปอร์แมงกาเนต (ด่างทับทิม) ใส่ลงในฟอร์มาลีนในถ้วยกระเบื้องเคลือบ โดยใช้อัตราส่วน 1 ต่อ 2 เช่น ตู้ฟักไข่ ขนาด 100 ตารางฟุต ก็ให้ใช้ ด่างทับทิม 17.5 กรัม ใส่ในฟอร์มาลีน 35 ซี.ซี. แล้วปิดตู้ฟักไข่อบไว้
ยาฆ่าเชื้อพวกฮาโลเจน ( Halogen disinfectant) ที่นิยมใช้กันก็คือ โซเดียมไฮโปคลอไรด์ มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อได้สูง เพราะคลอรีนเป็นส่วนประกอบอยู่แต่ถ้ามี Organic matter ปะปนอยู่ คุณสมบัติในการทำลายเชื้อโรค ของมันจะลดลงอย่างรวดเร็ว โซเดียมไฮโปคลอไรด์ ใช้ฆ่าเชื้อโรคในตู้ฟักไข่ และใช้ปนกับไอน้ำเดือดพ่นฆ่าเชื้อโรคเครื่องมือ เครื่องใช้ต่าง ๆ ของฟาร์มโคนม
ยาฆ่าเชื้อโรคแอมเนียมคอมเบานด์ต่าง ๆ
นิยมทำเป็นสารละลายเจือจาง (Dilute Solution) ใช้ล้างเต้านม, หัวนม, ของแม่โคก่อนทำการรีดนม และน้ำล้างเครื่องมือ เครื่องใช้ต่าง ๆ ในฟาร์มโคนม นอกจากนี้ยังใช้เช็ดเปลือกไข่ไก่ , ไข่เป็ด ก่อนเอาเข้าฟักตู้
แอมโมเนีย (Ammonia)
ทำเป็นน้ำยาเจือจาง 10 % ใช้ได้ผลดีมากในการทำลาย
หมายเหตุ โซเดียมคาร์บอเนต หรือที่เราเรียกกันว่า โซดาซักผ้านั้น นิยมทำให้เป็นน้ำยาเจือจาง
4 % ในน้ำร้อน แล้วใช้ล้างโรงเรือน, คอกสัตว์เครื่องมือ เครื่องใช้ต่าง ๆ ลักษณะและคุณสมบัติของมันคล้ายกับเป็นพวก Mechanicai oleonser มากกว่ายาฆ่าเชื้อโรค แต่ในประเทศอังกฤษได้รับรอง แล้วว่ามันเป็นยาฆ่าเชื้อโรคที่ ใช้ได้ผลดีมากในการทำลายเชื้อไวรัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคปากและโรคเท้าเปื่อย , โรคอหิวาต์สุกร และโรค Fowt post
การทำลายเชื้อ (Sterization)
หมายถึง การฆ่าทำลายล้างสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ตั้งแต่ขนาดเล็กที่สุด คือ เชื้อไวรัส จนถึงสัตว์และพืชที่มีขนาดใหญ่โต แต่การทำลายเชื้อที่สมบูรณ์แบบดังกล่าวนนี้จะทำได้สำเร็จเฉพาะอุปกรณ์ หรือภาชนะที่มีขนาดเล็กเท่านั้น เช่น เครื่องมือผ่าตัด สำหรับโรงเรือนและอุปกรณ์ขนาดใหญ่แล้วไม่นิยมทำกัน เพราะทำสำเร็จได้ผลน้อยมาก
วิธีทำลายเชื้อโรค สามารถดำเนินการได้หลายวิธี เช่น
1. ทำลายเชื้อโรคโดยการใช้ความร้อน ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ
ก. แบบแห้ง (Dry heat) ฆ่าเชื้อโดยใช้เปลวไฟ
ข. แบบชื้น หรือเปียก (Moist heat) เป็นการฆ่าเชื้อโดยการต้มหรือ ลวก อบไอน้ำ และ อบไอน้ำภายใต้ความดัน
2. ทำลายเชื้อโรคโดยการฉายรังสี (Radiation)
ก. ฉายรังสีอุตราไวโอเลต (Ultraviolet Radiation)
ข. ฉายรังสีไอออน (Ionizing Radiation) ได้แก่รังสีแกมมา รังสีเบตา และรังสีนิวตรอน
3. ทำลายเชื้อโรคด้วยสารเคมี (Chemicals) เช่น แอลกอฮอล ฟีนอล และครีซอล

การกำจัดเชื้อโรคจะกระทำเมื่อ
1. เพื่อป้องกันการสะสมและหมักหมมเชื้อโรคในโรงเรือนคอกสัตว์ ภาชนะและอุปกรณ์ตัวอย่าง เช่น เมื่อคอกว่างหลังจากหย่านมลูกสุกร คอกขุนว่างหลังจากขายหรือ ย้ายสัตว์ออกเป็นชุด ๆ
2. เพื่อป้องกันการนำเชื้อจากภายนอกเข้าสู่ฟาร์ม โดยการสร้างอ่างน้ำยาที่ประตูเข้าฟาร์ม อ่างจุ่มเท้า หน้าโรงเรือนทุกหลัง และการฆ่าเชื้อเครื่องมือแพทย์
3. ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรค ยกตัวอย่าง เช่นในกรณีที่สัตว์ป่วยตาย ซึ่งสงสัยว่าอาจตายด้วยโรคติดต่อหรือโรคติดเชื้อบางชนิด จะต้องทำลายซากด้วยการฝังหรือ เผา ก่อนเผาหรือฝังซากให้ทำลายด้วยการราดน้ำยาฆ่าเชื้อ แล้วทำความสะอาดบริเวณคอกและโรงเรือนที่สัตว์ป่วยอยู่ทั้งก่อนและหลังตาย เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ระบาดต่อไป

วิธีการใช้ยาฆ่าเชื้อโรคให้มีประสิทธิภาพ
เพื่อให้การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อได้ผลตามวัตถุประสงค์ จงปฏิบัติดังต่อไปนี้
1. ก่อนใช้น้ำย่าฆ่าเชื้อต้องเก็บกวาด ขัดถู พื้นฝาผนัง และหลังคาทุกซอกทุกมุม เพื่อขจัดโคลน อุจาระ ไขมัน และสิ่งปฏิกูลอื่น ๆ ที่เคลือบคลุมอยู่ออกให้หมด แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดและผงซักฟอก เพราะสิ่งเหล่านนี้มักป้องกันไม่ให้น้ำยาฆ่าเชื้อทำปฏิกิริยาทำลายเชื้อโรคได้ผลเท่าที่ควร
2. เมื่อได้ปฏิบัติการตามข้อ 1. แล้ว จงใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่มีปริมาณสูง และผสมน้ำ (น้ำอุ่นยิ่งให้ผลทำลายดี) ให้ความเข้มข้นถูกต้องตามคำบ่งใช้ของบริษัทผู้ผลิตน้ำยานั้น ๆ อาจจะราดอัดฉีด ขัดถู แล้วปล่อยทิ้งไว้สักระยะหนึ่งตามข้อกำหนดของยาแต่ละอย่าง
3. ทั้งคนและพาหนะที่เข้าออกฟาร์มจะต้องผ่านการฆ่าเชื้อโรคทุกครั้ง เมื่อคิดการสูญเสียเนื่องจากโรค จึงต้องดำเนินการควบคุมโรค และพยาธิให้ได้ โดยจำเป็นจะต้องพิจารณาถึงสิ่งที่ทำให้เกิดจุดอ่อนขึ้นทุกแง่ทุกมุม สิ่งต่าง ๆ ที่จะนำมาพิจารณาเปรียบเสมือนห่วงโซ่ที่เกี่ยวพันกันอยู่ถ้าห่วงใดห่วงหนึ่งอ่อนแอ ในไม่ช้าห่วงนั้นก็จะขาดผลก็คือสุขภาพสัตว์เสื่อม โทรมลง

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

บทที่ 3 หลักทั่วไปในการป้องกันควบคุมโรคระบาด

บทที่ 3
หลักทั่วไปในการป้องกันควบคุมโรคระบาด

หลักการป้องกันและควบคุมโรคสัตว์
ในการเลี้ยงสัตว์ทางทหารหรือสัตว์เศรษฐกิจ จำนวนมาก ๆ มักจะต้องประสบกับปัญหาของโรคระบาดต่าง ๆ อยู่เสมอ ทั้งนี้อาจเนื่องจากขาดประสบการณ์ ไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการป้องกันและความคุมโรคในฝูงสัตว์ของตน หรือบางรายก็เกิดความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำการป้องกันโรคโดยที่มีความรู้ไม่จริงและเข้าใจผิด แต่ในบางรายโรคระบาดเกิดขึ้นทั้งที่มีความรู้ในหลักการดี แต่ประมาทเกินไป
การป้องกันโรค หมายถึง การจัดการด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่จะมิให้สัตว์ที่ไม่ป่วย เกิดการติดเชื้อและเกิดโรคขึ้น
การป้องกันและควบคุมโรคระบาดสัตว์ต่าง ๆ สามารถใช้ความรู้ทางด้านปัจจุยสามทางระบาดวิทยาเป็นหลักในการวางแผนป้องกันควบคุมโรคคือ
1. การจัดการเลี้ยงดูสัตว์ให้มีสุขาภาพดี
2. การควบคุมและกำจัดสาเหตุของโรค
3. การควบคุมสภาพแวดล้อมและปัจจัยโน้มนำของโรค
แผนภูมิที่ 6 หลักการป้องกันและควบคุมโรคทั่วไป
สัตว์ สิ่งที่ทำให้เกิดโรค

สิ่งแวดล้อม
1. การเลี้ยงดูด้วยอาหารที่ถูกหลัก 1. การมีน้ำสะอาดให้เพียงพอ 1. การตรวจวินิจฉัยโดยเร็วและ โภชนาศาสตร์สัตว์ 2. การกำจัดมูลสัตว์ การรักษาทันที
2. การสร้างภูมิต้านทานโรคให้ 3. การกำจัดสัตว์และแมลงนำโรค 2. การค้นหาและรักษาหรือกำจัด
แก่สัตว์ 4. การควบคุมสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ สัตว์พาหะโรค
2.1 การฉีดวัคซีนหรือให้ภูมิคุ้มโรค 3. การควบคุมแหล่งแพร่เชื้อ
2.2 การใช้ยาหรือสารเคมีป้องกัน อื่น ๆ
การป้องกันโรคที่ตัวสัตว์
1. การเลี้ยงดูด้วยอาหารที่ถูกหลักโภชนาศาสตร์สัตว์ ทำให้สัตว์มีความอุดมสมบูรณ์มีความต้าน
ทานโรคได้ดี เช่น ลูกสุกรหย่านมถึงน้ำหนัก 15 กิโลกรัม อาหารต้องมีโปรตีนประกอบอยู่ 22 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก แคลเซียม 0.8 เปอร์เซ็นต์ ฟอสฟอรัส 0.65 เปอร์เซ็นต์ ลูกสุกรอายุน้อยควรได้รับธาตุเหล็กเสริมตัวละ 200 มิลลิกรัม โดยวิธีการฉีด หรือป้ายลิ้น เพื่อป้องกันโรคโลหิตจาง เป็นต้น
2. การสร้างความต้านต้านทานโรคให้แก่สัตว์
2.1 การฉีดวัคซีนหรือให้ภูมิคุ้มโรค กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แนะนะการ
ทำวัคซีนป้องกันโรคระบาดในสุกร ต้องทำอย่างน้อย 2 ชนิด คือวัคซีนป้องกันโรคอหิวาต์สุกรและวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อย นอกจากนั้นยังมีวัคซีนชนิดอื่นที่นิยมใช้กันได้แก่ วัคซีนป้องกันโรคโพรงจมูกอักเสบ พาร์โวไวรัส อี. โคไล ฯลฯ
2.2 การใช้สารเคมีหรือยาป้องกัน วิธีนี้ปฏิบัติอยู่เป็นประจำ เช่น ในระยะหย่านมควรให้ยาปฏิชีวนะผสมอาหารร่วมกับไวตามินรวมเพื่อลดความเครียดที่อาจเป็นสาเหตุโน้มนำของโรคต่าง ๆ หลายชนิด หรือการผสมสารประกอบสารหนูในอาหารเพื่อป้องกันโรคบิดมูกเลือด เป็นต้น

การป้องกันโรคที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
1. จัดหาน้ำสะอาดให้กินอย่างเพียงพอ และตลอดเวลา
2. การกำจัดมูลสัตว์ให้ถูกลักษณะสุขาภิบาล โรคสุกรหลายชนิดมีการแพร่ระบาดโดยเชื้อปน
ออกมากับอุจจาระ เช่น โรคพยาธิต่าง ๆ โรคอหิวาต์สุกร โรค ที.จี.อ. ฯลฯ การกำจัดมูลสุกรจะลดการแพร่กระจายเชื้อได้ พื้นคอกจึงควรสร้างให้ลาดเอียงไปทางตอนท้ายเล็กน้อย เพื่อใช้ระบายหรือชะล้างได้ง่าย หรืออาจใช้เป็นพื้นสแลต ( Slatted floor ) ซึ่งทำให้มูลสัตว์ตกลงช่องระบายทันที
3. การกำจัดสัตว์และแหล่งนำโรคมีการป้องกันไม่ให้สัตว์อื่นเข้าไปภายในฟาร์ม มีโปรแกรม
กำจัดปรสิตภายนอกอย่างสม่ำเสมอ เช่น แม่สุกรท้องแก่ ควรได้รับการกำจัดเห็บ เหา หมัดไร ก่อนนำเข้าโรงเรือนคลอด เพราะเหาสุกรเป็นพาหะนำโรคอเพอร์โทรซูโนซิส เป็นต้น
4. การควบคุมสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เช่น การระบาดอากาศที่ดี ไม่ร้อนอบอ้าว ไม่มีฝุ่นละออง
อุปกรณ์เลี้ยงสัตว์ที่นำมาจากฟาร์มอื่นต้องผ่านการฆ่าเชื้อโรคก่อนน้ำเข้าฟาร์ม ทุ่งหญ้าที่ตรวจพบมีไข่พยาธิอยู่ก็ควรหลีกเลี่ยงการให้สัตวืเลี้ยงลงแปลงอย่างเด็ดขาด
การป้องกันโรคที่เกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้เกิดโรค
1. การตรวจหาสาเหตุของโรคโดยเร็วและรักษาทันที เมื่อสัตว์เริ่มมีอาหารป่วยควรตรวจร่างกาย
และตรวจทางห้องปฏิบัติการหาสาเหตุอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้ทำการรักษาทันที ทำให้สัตว์ป่วยหายจากโรคเร็วขึ้น และลดโอกาสหรือระยะเวลาการแพร่โรคจากสัตว์ป่วยไปยังสัตว์อื่น เช่น สุกรมีอาการโลหิตจาง ดีซ่าน และแท้ง ต้องรีบตรวจร่างกาย และตรวจเลือดหาสาเหตุทันที อาจพบเชื้อเลปโตสไปร่า หรือ อิเพอร์โทรซูน ซอิส เป็นต้น
2. การค้นหาและกำจัดพาหะของโรค สุกรทุกตัวควรได้รับการตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ โดย
เฉพาะสุกรพ่อและแม่พันธุ์ เช่น การกำหนดเป็นโปรแกรมสุขภาพมีการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาสภาวะโรคแท้งติดต่ออย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เมื่อพบตัวที่เป็นพาหะหรือให้ผลบวกต่อการทดสอบเชื้อ ให้รีบรักษาหรือคัดทิ้งหรือกำจัดออกจากฟาร์ม เพื่อไม่ให้แพร่โรคต่อไป
3. การควบคุมแหล่งแพร่เชื่อ
3.1 แยกสัตว์ป่วยออกจากฝูงไว้ในคอกกักกัน ทำการฆ่าเชื้อโรคสิ่งขับถ่ายและอุปกรณ์ที่
สัมผัสกับสัตว์ป่วย
3.2 แหล่งแพร่เชื้อตามธรรมชาติ เช่น บอน้ำที่มีหอยคันอยู่มากและเป็นโฮสต์กึ่งกลางของ
พยาธิในไม้ลำไส้ ก็ให้ใช้จุนสีโรยรอบ ๆ บ่อ เพื่อทำลายหอย เป็นต้อน
3.3 สัตว์ที่นำมาจากฟาร์มอื่น ต้องตรวจสอบหรือแยกเลี้ยงต่างหากอย่างน้อย 30 วันจนแน่ใจ
ว่าไม่เป็นโรคติดต่อแล้ว จึงนำมาเลี้ยงรวมฝูงกับสัตว์ที่มีอยู่เดิมได้


ดัชนีที่เกี่ยวกับโรคสัตว์
เป็นเครื่องชีวัดสภาวะโรคของสัตว์ที่เลี้ยงในโรงเรือนหรือทั่วประเทศโดยมากเป็นการวัดปริมาณในลักษณะของอัตราส่วน หรือสัดส่วน ทำให้ทราบถึงลักษณะการกระจายของโรค แนวโน้มการเกิดโรคภายในฝูงสัตว์เพื่อใช้วางแผนแก้ปัญหาและป้องกันโรค และใช้ศึกษาทางวิทยาการระบาดเกี่ยวกับสัตว์ด้วย


อัตราอุบัติการณ์ของโรค ( Incidence rate )
หมายถึงจำนวนสัตว์ป่วยที่เกิดขึ้นใหม่ ต่อหน่วยประชากรสัตว์ที่เฝ้าสังเกตในช่วงระยะเวลาที่กำหนด มักคำนวณออกมาเป็นร้อยละหรือเปอร์เซ็นต์

อัตราอุบัติการณ์ของโรค = จำนวนสัตว์ป่วยที่เกิดขึ้นใหม่ x 100
จำนวนสัตว์ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคขณะนั้น
ตัวอย่าง ในฟาร์มแห่งหนึ่งเลี้ยงสุกรรวมกันทั้งหมด 1,000 ตัว มีสุกรป่วยด้วยโรคอหิวาต์สุกร 600 ตัว ในเวลาเดียวกัน และก่อนหน้านี้ไม่เคยมีสุกรป่วยเลย
อัตราอุบัติการณ์ของโรค = 600 x 100
1,000
= 60 %
อัตราอุบัติการณ์ของโรค เป็นตัวบ่งชี้ถึงโอกาสที่จะเกิดโรคในฝูงสัตว์มีมากน้อยเพียงใด ถ้ามีอุบัติการณ์ของโรคสูง สัตว์ที่เลี้ยงอยู่ก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสูง และใช้ประเมินการป้องกันและควบคุมโรคว่าได้ผลเพียงใด ถ้าการป้องกันโรคได้ผลดี อัตราอุบัติการณ์ของโรคก็มีค่าต่ำ
อัตราความชุกของโรค
หมายถึงจำนวนสัตว์ป่วยทั้งหมดที่มีอยู่ทั้งเก่าและใหม่ต่อหน่วยประชากรที่จุดเวลากำหนด
อัตราความชุกของโรค = จำนวนสัตว์ป่วยทั้งหมด x 100
จำนวนสัตว์ทั้งหมดที่จุดเวลาเดียวกัน
ตัวอย่าง Talor ( 1981 ) รายงายการสำรวจสภาวะโรคพาร์โวไวรัสในสุกรประเทศอังกฤษ มีอัตราความชุกสูงถึง 53 % และเชื่อว่าลักษณะความชุกของโรคนี้มีความคล้ายคลึงกันทั่วโลก
คิดคำนวณจาก
อัตราความชุกของโรคโวไวรัส ปี 1981
= จำนวนสุกรป่วยด้วยโรคพาร์โวไวรัส ปี 1981 x 100
จำนวนสุกรทั่วประเทศอังกฤษ 1981
ดัชนีนี้ใช้บอกสภาวการณ์ของโรค ทำให้ทราบถึงความต้องการด้านการรักษาและป้องกันโรค
อัตราตาย ( Mortality rate )
อัตราตายเฉพาะโรค = จำนวนสัตว์ตายด้วยโรคใด ๆ x 100
จำนวนสัตว์ที่เลี้ยงไว้ทั้งหมด
ตัวอย่าง ในฟาร์มแห่งหนึ่งมีการเลี้ยงสุกรรวมกันทั้งหมด 1,000 ตัว มีลูกสุกรอายุ 0 – 7 วัน จำนวน 100 ตัว อายุ 8 – 14 วัน 200 ตัว และอายุ 15 – 21 วัน จำนวน 100 ตัว ลูกสุกรดังกล่าวจายด้วยโรค ที.จี.อี. จำนวน 100 , 100 และ 25 ตัว ตามลำดับ

อัตราตายด้วยโรค ที.จี.อี. ในลูกสุกร 0 – 7 วัน = 100 x 100
100
= 100 เปอร์เซ็นต์
และอัตราตายด้วยโรค ที.จี.อี. ในลูกสุกรอายุ 8 – 14 วัน และ 15 – 21 วัน เท่ากับ 50 % และ 25 % ตามลำดับ
อัตราตายชนิดนี้ใช้เปรียบเทียบความรุนแรงที่เกิดกับสัตว์ในกลุ่มอายุต่าง ๆ ได้ดีทำให้ทราบถึงอันตรายและความเสี่ยงต่อการตายในสัตว์แต่ละอายุ และใช้วางแผนป้องกันโรคได้
ข้อมูลเบื้อต้นทางสรีรวิทยาของสุกร
พันธุ์สุกร สุกรพันธุ์ที่นิยมเลี้ยงกันมากในประเทศไทยมีหลายพันธุ์ได้แก่ พันธุ์ลาร์จไวท์ แลนด์ เรช ดูร็อคเจอร์ซี่ แฮมเชียร์ เพียเทรียม และสุกรพันธุ์พื้นเมือง พันธุ์ไหหลำ สุกรป่า
ข้อมูลทางสรีรวิทยา
อุณหภูมิร่างกายปกติ 39 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุดที่ตรวจวัดได้ในสุกรปกติ 38.4 องศาเซลเซียส สูงสุด 40 องศาเซลเซียส
อัตราการหายใจ 20 – 30 ครั้งต่อนาที
ชีพจร 70 – 80 ครั้งต่อนาที
การเต้นของชีพจรจะเพิ่มมากขึ้นในลูกสุกรอายุน้อย ลูกสุกรแรกเกิดอาจสูงถึง 200 – 280 ครั้ง ต่อนาที
ปริมาณเซลล์เม็ดเลือดแดงอัดแน่น ( P.C.V. ) 42 ( 32.0 – 50.0 ) เปอร์เซ็นต์
เม็ดเลือดแดง 7.2 ( 6.0 – 9.0 ) x 106 ต่อ มม. 3
เม็ดเลือดขาว 18.0 ( 10.0 – 23.0 ) x 103 ต่อ มม. 3
เกร็ดเลือด 400.0 ( 250.0 – 700.0 ) x 103 ต่อ มม. 3
ฮีโมโกลบิน 14.0 ( 11.0 – 17.0 ) กรัมต่อ 100 ซม.3



ปัจจัยทางด้านการสัตวบาล
1. อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงสุกรขนาดต่าง ๆ
สุกรโตเต็มที่ คอกสุกรพันธุ์ 15 – 20 องศาเซลเซียส
คอกคลอด 15 – 18 องศาเซลเซียส
ลูกสุกรแรกเกิด น้ำหนัก 5 กก. 25 – 30 องศาเซลเซียส
ลูกสุกรแรกเกิด น้ำหนัก 5 - 18 กก. 23 – 27 องศาเซลเซียส
ลูกสุกรขนาด 19 – 45 กิโลกรัม 21 – 24 องศาเซลเซียส
สุกรขนาด 45 – 95 กิโลกรัม 13 – 18 องศาเซลเซียส
สุกรขนาด 90 – 115 กิโลกรัม 10 – 15 องศาเซลเซียส

ข้อมูลทางระบบสืบพันธุ์ของสุกร
วัยเจริญพันธุ์ เพศผู้ 8 – 9 เดือน เพศเมีย 7 เดือน
วงรอบการเป็นสัด 21 วัน
ระยะอุ้มท้อง 112 – 116 วัน
จำนวนลูกสุกรรอดชีวิตเมื่อแรกคลอด 10.8 ตัวต่อครอก
จำนวนลูกสุกรตายภายหลังคลอด 5 เปอร์เซ็นต์ ( ไม่เกิน 8 เปอร์เซ็นต์ )
น้ำหนักลูกสุกรเมื่อหย่านม
3 สัปดาห์ 5.44 กิโลกรัม
5 สัปดาห์ 11.34 กิโลกรัม
6 สัปดาห์ 13.60 กิโลกรัม

การป้องกันโรคทั่วไป
สาเหตุของโรค (ETIOLOGY ) แบ่งเป็น 2 ชนิด
1. สาเหตุโน้มนำ
2. สาเหตุแท้จริง
1. สาเหตุโน้มนำ คือสาเหตุหรือความผิดปกติ ที่เกิดขึ้นในตัวสัตว์เองได้แก่
1.1 สาเหตุทางกรรมพันธุ์
1.2 ความผิดปกติของอวัยวะของสัตว์เอง
นอกจากนี้ยังมีเหตุอื่น ๆ ภายในสัตว์อีก เช่น
- ชนิดของสัตว์ โรคบางโรคเกิดกับสัตว์ชนิดหนึ่งแต่ไม่เกิดในสัตว์ชนิดอื่น เช่น อหิวาห์สุกร เป็นเฉพาะสุกร
- พันธุ์
- อายุ
- เพศ
- สีผิว
2. สาเหตุที่แท้จริง
2.1 สาเหตุทางกายภาพ เช่น ความร้อน รังสี (ultraviolet) กัมมันตภาพรังสี ความเย็นจัด กระแสไฟฟ้า ความกดดันของบรรยากาศ การกระทบกระแทก
2.2 สาเหตุทางเคมี ได้แก่ ได้รับสารเคมี เช่น กรด ด่าง โลหะหนัก ยาฆ่าแมลง ยาเบื่อ ฯลฯ และภาวะขาดอาหาร
2.3 สาเหตุจากเชื้อโรคและพยาธิ
การติดโรค
โรคที่เกิดกับสัตว์ บางโรคก็ติดต่อไม่ได้ บางโรคก็ติดต่อกันได้
โรคที่ติดต่อกันได้ ประเภทหนึ่ง เป็นโรคที่ติดต่อกัน โดยไม่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโรคแต่ เป็นการติดต่อทางกรรมพันธุ์ ประเภทนี้ถือว่าเป็นโรคระบาด
โรคที่ติดต่อกันได้อีกประเภทหนึ่ง ติดต่อกันโดยการแพร่ของเชื้อโรคเป็นสาเหตุของ โรคประเภทนี้ถือว่าเป็นโรคระบาด

การป้องกันโรคสัตว์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
เมื่อเกิดโรคขึ้น วิธีที่ดีที่สุด คือทำลายตัวที่ป่วยและแยกสัตว์ดีออกไป การทำลายเชื้ออาจทำได้ง่ายเพราะเชื้อถูกทำลายได้ง่าย โดยสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ยาฆ่าเชื้อจึงไม่ค่อยจำเป็น นอกจากนี้ยังป้องกันโรคได้โดยการฉีดวัคซีนชนิดเชื้อเป็น ซึ่งจะให้ความคุ้มโรคได้ดี
การรักษาด้วยยา การรักษาความสะอาดทั้งหมดทุกระบบภายในฟาร์ม หรือในคอกและเล้าเลี้ยงสัตว์

การป้องกันโรคสัตว์ที่เกิดจากเชื้อไวรัส
มีสถานเดียวที่ดี เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันทำได้โดย ถ้าเป็นแม่สัตว์หรือลูก ต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรค หรือการป้องกันโรคอีกวิธีหนึ่ง คือให้ แอนตี้เซรุ่ม โดยการกินก็ได้ ถ้าเป็นช่วงโรคมีการระบาด ต้องมีการจัดการเกี่ยวกับการสุขาภิบาลให้ดี

การป้องกันโรคสัตว์ที่เกิดจากเชื้อปาราสิต
มีการแยกสัตว์ดีกับสัตว์ป่วยออกจากกัน หรือออกจากฝูง ทำความสะอาดเรือนโรงเลี้ยงด้วยการฉีดพ่นยา และสามารถป้องกันพร้อมรักษาด้วยยาหรือการใช้ยาถ่ายก็ได้ หมั่นทำความสะอาดคอกและบริเวณที่ใช้เลี้ยงสัตว์ให้สะอาดตลอดเวลา

การควบคุมโรคระบาดสัตว์
การควบคุมโรค หมายถึง การจัดการมิให้สัตว์ที่ป่วยแพร่เชื้อติดต่อไปยังสัตว์ตัวอื่น ๆ หรือ การจัดการมิให้สัตว์ที่เคยป่วยและรักษาจนหายดีแล้วติดเชื้อและเป็นโรคขึ้นมาอีก หรือ ทำให้สัตว์ที่เลี้ยงไว้ปราศจากโรค หลักการที่จะทำให้สัตว์ปราศจากโรคมีหลักการดังนี้
- ป้องกันไม่ให้มีการสัมผัสกันระหว่างสัตว์ป่วยกับสัตว์ดี
- สร้าง หรือเพิ่มความต้านทานโรคให้แก่สัตว์ดี
- ทำการบำบัดรักษาสัตว์ป่วยให้หายจากโรค และสร้างความต้านทานโรคแก่สัตว์นั้น ๆ

การควบคุมโรคระบาด
1. การลดอัตราการเกิดโรคและอัตราการตายจากโรค ซึ่งสามารถทำได้โดย
2. การรักษาสัตว์ป่วย ทำให้ลดการเกิดโรคภายในประชากรสัตว์
3. การป้องกันโรค เป็นการป้องกันไม่ให้สัตว์สัมผัสกับเชื้อโรค
4. การสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้แก่สัตว์
การควบคุมโรคระบาด (Eradication :)
การทำลายเชื้อโรคให้หมดไปจากโลกนี้ (Cockburn, 1963) การกำจัดโรคจะไม่สมบูรณ์ถ้าเชื้อโรคใดก็ตามยังมีชีวิตอยู่ได้ตามธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบันมีเพียงโรคบางอย่างเท่านั้นที่สามารถกำจัดได้ตามความหมายนี้ เช่น human smallpoxการลดการเกิดโรคติดเชื้อโรคใดโรคหนึ่งจากพื้นที่ที่ต้องการจนถึงระดับที่ไม่เกิดการติดต่ออีกต่อไป (Andrews and Langmuis, 1963)
การควบคุมโรคระบาด (Eradication )
การลดโรคติดเชื้อจนอยู่ในระดับที่โรคหยุดชะงัก ไม่เป็นปัญหาต่อสุขภาพอีกต่อไป แม้ว่าการติดต่ออาจจะยังมีอยู่บ้างในเขตนั้น (Maslakov, 1968) การทำลายล้างเชื้อโรคใดโรคหนึ่งออกจากพื้นที่ที่เฉพาะ (เป็นความหมายที่ใช้กันมากในทางสัตวแพทย์)
หลักทั่วไปในการจัดการสุขภาพ เพื่อการควบคุมและป้องกันโรค
1. การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่มีคุณลักษณะที่ดี โดยคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่มีลักษณะถูกต้องตามสายพันธุ์ มีการเติบโตดี ปราศจากโรคติดต่อและโรคทางพันธุกรรม
2. จัดการอาหารและน้ำที่ดี การให้อาหารที่มีโภชนะครบถ้วน ให้น้ำสะอาดปราศจากวัตถุปนเปื้อน
3. สารพิษตกค้าง จะทำให้สัตว์มีสุขภาพแข็งแรง มีความต้านทานโรคดี การสังเกตและดูแลสุขภาพสัตว์เป็นประจำ การสังเกตอาการผิดปกติต่างๆ ด้วยตาเปล่า การสังเกตอาการผิดปกติไปจากธรรมดา การตรวจสุขภาพร่างกายสัตว์ที่แสดงออกให้เห็น เช่น ซูบผอม จมูกแห้ง ขนหยาบ ผิวหนังอักเสบ เยื่อเมือกซีดหรือเหลือง นัยน์ตาจมลึก น้ำตาไหลมาก อาการไอ หอบ หายใจลำบาก การขับถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ สิ่งต่างๆ เหล่านี้บ่งบอกถึงสุขภาพของสัตว์
4. การคัดสัตว์ที่เป็นโรคและมีลักษณะผิดปกติออกจากฝูง คัดสัตว์ที่มีลักษณะไม่ดี เช่น แคระ
แกร็น อายุมากเกินไป หรือมีปัญหาเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับโรคติดต่อ
5. การใช้สารเคมีหรือยาฆ่าเชื้อโรค โดยการใช้สารเคมีหรือยาฆ่าเชื้อโรคทำความสะอาดคอก โรงเรือน เพื่อทำลายเชื้อที่อยู่ในสถานที่ดังกล่าว นอกจากนี้ควรกำจัดอุจจาระ ปัสสาวะของสัตว์บ่อยๆ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อ
6. การปรึกษาสัตวแพทย์ในกรณีที่มีปัญหาโรคขึ้น โดยเฉพาะกรณีการเกิดโรคระบาดต้องรีบปรึกษาสัตวแพทย์ทันที
7. การกักกัน หมายถึง การแยกสัตว์ออกมาโดยทีสัตว์เหล่านั้นมีการติดเชื้อหรือสงสัยว่าเป็นโรคใดโรคหนึ่ง หรือสัตว์ที่ไม่มีการติดเชื้อแต่อยู่ในสภาพที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
8. การทำลาย ในกรณีที่สัตว์เจ็บป่วยเรื้อรัง และเป็นแหล่งแพร่โรคให้กับสัตว์ตัวอื่น เพื่อเป็นการลดผลเสียทางเศรษฐกิจ จำต้องทำลายสัตว์นั้นเสีย หรือในรายโรคระบาดจำเป็นต้องกำจัดแหล่งของการแพร่เชื้อด้วย
9.การทำวัคซีนป้องกันโรค เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับสัตว์ เป็นการลดจำนวนสัตว์ที่มีภูมิไวรับต่อการติดเชื้อ ซึ่งจะทำให้โรคระบาดลดลง
10. การให้ยาเพื่อบำบัดและป้องกันโรค ยาปฏิชีวนะ ยาถ่ายพยาธิ และยาอื่นๆ นำมาใช้เพื่อการบำบัดรักษา และยังนำมาใช้กับสัตว์ที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรค
11. การควบคุมพาหะ โรคติดเชื้อทั้งหลายที่นำโดยพาหะต่างๆ สามารถควบคุมได้ด้วยการกำจัดพาหะของโรค
12.. ปรับปรุงสภาพแวดล้อม การเลี้ยง และการให้อาหาร เพื่อให้เกิดความเหมาะสมในการจัดการการเลี้ยงดู

พระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ.๒๔๙๙
แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.๒๕๔๒
พระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. ๒๔๙๙ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๔๒
1. พระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๑-๗
2. หมวด ๑ การป้องกันโรคระบาด มาตรา ๘-๑๐
3. หมวด ๒ เขตปลอดโรคระบาด มาตรา ๑๑-๑๔
4. หมวด ๓ เขตโรคระบาด มาตรา ๑๕-๒๐
5. หมวด ๔ การควบคุมการค้าสัตว์หรือซากสัตว์ มาตรา ๒๑-๒๔
6. หมวด ๕ เบ็ดเตล็ด มาตรา ๒๕-๓๘
7. หมวด ๖ บทกำหนดโทษ มาตรา ๓๙-๕๑
8. อัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติ

สัตว์ตามมาตรา ๔
1. สัตว์ใหญ่และสัตว์เล็ก ช้าง ม้า โค กระบือ ลา ล่อ แพะ แกะ สุกร สุนัข แมว กระต่าย ลิง ชะนี และให้หมายความรวมถึงน้ำเชื้อสำหรับผสมพันธุ์ และเอ็มบริโอ (ตัวอ่อนของสัตว์ที่ยังไม่เจริญเติบโตจนถึงขั้นที่มีอวัยวะครบบริบูรณ์) ของสัตว์เหล่านั้น
2. สัตว์ปีก จำพวกนก ไก่ เป็ด ห่าน และให้หมายความรวมถึงไข่สำหรับใช้ทำพันธุ์ด้วย และ
3. สัตว์ชนิดอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
สัตว์ตามมาตรา ๔ สัตว์ชนิดอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
1. ฉบับที่ 11 (พ.ศ.๒๕๑๒): แรด กระซู่ สมเสร็จหรือผสมเสร็จ กูปรีหรือโคไพร ควายป่า ละองหรือละมั่ง สมันหรือเนื้อสมัน ทรายหรือเนื้อทรายหรือตามะแน เลียงผาหรือเยียง หรือโครำหรือกูรำ กวางผา กระทิงหรือเมย วัวแดงหรือวัวดำ หรือวัวเพาะ กวาง อีเก้งหรือฟาน กระจงหรือไก้ อูฐ ยีราฟ ฮิปโปโปเตมัส เสือ สิงโต หมี แมวป่า นางอายหรือลิงลม ค่าง
สัตว์ตามมาตรา ๔
1. กฎกระทรวงฉบับที่ ๒๑ (พ.ศ.๒๕๒๘) : ผึ้ง
2. กฎกระทรวงฉบับที่ ๓๗ (พ.ศ.๒๕๔๑) : นากหญ้า
3. กฎกระทรวงฉบับที่ ๔๔ (พ.ศ.๒๕๔๒) : หมูป่า
โรคระบาดตามมาตรา ๔
1. โรครินเดอร์เปสต์
2. โรคเฮโมรายิกเซพติซีเมีย
3. โรคแอนแทรกซ์
4. โรคเซอร่า
5. โรคสารติก
6. โรคมงคล่อพิษ
7. โรคปากและเท้าเปื่อย
8. โรคอหิวาต์สุกร
9. โรคอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
โรคอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวงฉบับที่ ๑ (พ.ศ.๒๔๙๙)
1. วัณโรค
2. โรคพิษสุนัขบ้า
3. โรคขี้ขาว
4. กาฬโรคของสัตว์ปีก
5. โรคนิวคาสเซิล
6. โรคลาริงโกเทรคีไอตีสติดต่อ
7. โรคโลหิตจางติดต่อ
8. โรคบรูเซลโลซีส
9. โรคพลูโรนิวมอเนียติตต่อของโค กระบือ
10 .โรคอาโทรฟิกไรไนตีส
11. โรคเอนเซฟาโลไมอีไลตีส
โรคอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวงฉบับที่ ๒๑ (พ.ศ. ๒๕๒๘)
1. โรคอเมริกันฟาล์วบรูด
2. โรคยูโรเปี่ยนฟาล์วบรูด
3. โรคโนซีมา
4. โรคชอล์คบรูด
5. โรคแซคบรูด
6. โรคอัมพาตของผึ้ง
7. โรควาร์รัว
8. โรคโทรปิลิแลปส์
9. โรคอะคาไรน์
10. โรคเบราลา
โรคอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวงว่าด้วยโรคระบาดสัตว์เพิ่มเติม พ.ศ.๒๕๔๔
1. โรคกาฬโรคเป็ด
2. โรคกาฬโรคแอฟริกาในม้า
3. โรคไข้หวัดใหญ่ม้า (ไวรัสไทป์เอ)
4. โรคไข้เห็บม้า
5. โรคแซลโมเนลลา
6. โรคดูรีน
7. โรคทริคิโนซีส
8. โรคนิวคาสเซิล
9. โรคบรูเซลโลซีส
10. โรคปากอักเสบพุพอง
11. โรคฝีดาษม้า
12. โรคโพรงจมูกและปอดอักเสบในม้า
13. โรคมดลูกอักเสบติอต่อในม้า
14. โรคเรื้อนม้า
15. โรคโลหิตจางติดต่อในม้า
16. โรคเรื้อนม้า
17. โรคเลปโทสไปรา
18. โรคโลหิตจางติดเชื้อในม้า
19. โรควัณโรค
20. โรควัวบ้า
21. โรคสมองอักเสบนิปาห์
22. โรคสมองและไขสันหลังอักเสบในม้า
23.โรคสมองและไขสันหลังอักเสบเวเสซู-เอลาในม้า
24. โรคสมองอักเสบเจแปนิส
25. โรคหลอดเลือดอักเสบติดเชื้อในม้า
26. โรคเอเวียนอินฟลูเอนซา
มาตรา ๕ ข้อยกเว้นที่ไม่ต้องใช้บังคับตามกฎหมายฉบับนี้
1. สัตว์ของกระทรวงกลาโหม
2. สัตว์ของส่วนราชการอื่นที่กำหนดในกระทรวง
หน้าที่เบื้องต้นของเจ้าของเกี่ยวกับสัตว์เมื่อเกิดโรคระบาด
1. กรณีสัตว์ป่วย ควบคุม และห้ามเคลื่อนย้าย
2. กรณีสัตว์ตาย ควบคุม ห้ามเคลื่อนย้ายหรือชำแหละ
3. ระยะเวลาการควบคุม ๔๘ ชั่วโมง
4. การฝังซากสัตว์
5. สัตว์เล็ก ฝังซากสัตว์นั้นใต้ระดับผิวดินไม่น้อยกว่า ๕๐ เซนติเมตร
6. สัตว์ใหญ่ ให้พูนดินกลมหลุมเหนือระดับผิวดินไม่น้อยกว่า ๕๐ เซนติเมตร









ระเบียบกรมปศุสัตว์ ว่าด้วยการทำลายสัตว์ที่เป็นโรคระบาดและการทำลายสัตว์หรือ
ซากสัตว์ที่เป็นพาหะของโรคระบาด
1. สัตว์ หมายความว่า สัตว์ตามความหมายในกฎหมายว่าด้วยโรคระบาดสัตว์และสัตว์อื่น ตามที่กำหนดในกฎกระทรวงซึ่งออกตามความในกฎหมายดังกล่าว
2. ซากสัตว์ หมายความว่า ซากสัตว์ตามความหมายในกฎหมายว่าด้วยโรคระบาดสัตว์
3. โรคระบาด หมายความว่า โรคระบาดตามความหมายในกฎหมายว่าด้วยโรคระบาดสัตว์ และโรคระบาดอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวงซึ่งออกตามความในกฎหมายดังกล่าว
4. สัตว์ที่เป็นโรคระบาด หมายความว่า สัตว์ป่วยด้วยโรคระบาด
5. สัตว์ที่เป็นพาหะของโรคระบาด หมายความว่า สัตว์ใดที่อยู่รวมหรือเคยอยู่รวมกับสัตว์ที่เป็นโรคระบาดอย่างใกล้ชิดอันอาจติดเชื้อโรคในระยะฟักเชื้อและสัตว์นั้นสามารถแพร่เชื้อโรคและระบาดออกไปยังสัตว์อื่นได้
6. ซากสัตว์ที่เป็นโรคระบาด หมายความว่า ร่างกายหรือส่วนของร่างกายสัตว์ที่ตายด้วยโรคระบาดและให้หมายความรวมถึง งา เขา และขนที่ได้ตัดออกจากสัตว์ที่เป็นโรคระบาด ขณะมีชีวิตและยังไม่ได้แปรสภาพเป็นสิ่งประดิษฐ์สำเร็จรูป
7. ซากสัตว์ที่เป็นพาหะของโรคระบาด หมายความว่า ร่างกายหรือส่วนของร่างกายสัตว์ที่เป็น พาหะของโรคระบาดในขณะที่สัตว์นั้นยังมีชีวิตและยังไม่ได้แปรสภาพเป็นสิ่งประดิษฐ์สำเร็จรูป
8. สัตวแพทย์ หมายความว่า สัตวแพทย์ของกรมปศุสัตว์และผู้ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แต่งตั้ง เช่นหัวหน้าด่านกักกันสัตว์ ปศุสัตว์เขต ปศุสัตว์จังหวัด ปศุสัตว์อำเภอ
9. ผู้รักษาราชการแทน หมายความว่า ผู้รักษาราชการแทนตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน หรือ ผู้รักษาราชการในตำแหน่งตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน แล้วแต่กรณี
10. ในการทำลายสัตว์ที่เป็นโรคระบาด และการทำลายสัตว์ที่เป็นพาหะของโรคระบาด ตามระเบียบนี้ ให้ผู้สั่งทำลายสัตว์ดำเนินการเพื่อให้เจ้าของสัตว์ได้รับการชดใช้ราคาค่าสัตว์ซึ่งต้องถูกสั่งทำลายตามระเบียบนี้ในอัตราตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
11. ในกรณีที่เจ้าของสัตว์ได้จงใจกระทำความผิดต่อบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. ๒๔๙๙ เจ้าของสัตว์จะไม่ได้รับการชดใช้ราคาค่าสัตว์ซึ่งต้องถูกสั่งทำลายและในกรณีเช่นนี้ผู้สั่งทำลายไม่ต้องดำเนินการเพื่อให้เจ้าของสัตว์ได้รับการชดใช้ราคาค่าสัตว์ตามวรรคหนึ่งแต่อย่างใด
12. เมื่อได้มีการตรวจพิสูจน์ตามหลักวิชาการสัตวแพทยศาสตร์แล้ว ปรากฏผลเป็นที่แน่ชัดว่า สัตว์ใดเป็นสัตว์ที่เป็นโรคระบาดหรือเป็นสัตว์ที่เป็นพาหะของโรคระบาดแล้วแต่กรณี ให้สัตวแพทย์หรือผู้รักษาการแทนแห่งท้องที่พบสัตว์นั้น มีคำสั่งเป็นหนังสือให้ทำลายสัตว์นั้น
13. ให้สัตวแพทย์ในตำแหน่งต่อไปนี้มีอำนาจสั่งทำลายสัตว์ที่เป็นโรคระบาดหรือสัตว์ที่เป็นพาหะของโรคระบาด ตามชนิดของสัตว์ในคราวหนึ่งๆ ได้ไม่เกินจำนวนดังต่อไปนี้
14. ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคระบาด (สำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์)มีอำนาจ
- สั่งทำลายโค กระบือ แพะ แกะ สุกร ม้า ลา และ/หรือล่อ คราวละไม่เกิน ๕๐๐ ตัวหรือ
- สั่งทำลายไก่ เป็ด และ/หรือห่าน คราวละไม่เกิน ๒๐๐๐๐ ตัว
15. หัวหน้าด่านกักสัตว์ มีอำนาจ
- สั่งทำลายโค กระบือ แพะ แกะ สุกร ม้า ลา และ/หรือล่อ คราวละไม่เกิน ๒๕ ตัวหรือ
- สั่งทำลายไก่ เป็ด และ/หรือห่าน คราวละไม่เกิน ๕๐๐ ตัว
16. ปศุสัตว์เขต มีอำนาจ
- สั่งทำลายโค กระบือ แพะ แกะ สุกร ม้า ลา และ/หรือล่อ คราวละไม่เกิน ๑๐๐ ตัวหรือ
- สั่งทำลายไก่ เป็ด และ/หรือห่าน คราวละไม่เกิน ๗๐๐๐ ตัว
17. ปศุสัตว์จังหวัด มีอำนาจ
- สั่งทำลายโค กระบือ แพะ แกะ สุกร ม้า ลา และ/หรือล่อ คราวละไม่เกิน ๕๐ ตัวหรือ
- สั่งทำลายไก่ เป็ด และ/หรือห่าน คราวละไม่เกิน ๕๐๐๐ ตัว
18. ปศุสัตว์อำเภอ มีอำนาจ
- สั่งทำลายโค กระบือ แพะ แกะ สุกร ม้า ลา และ/หรือล่อ คราวละไม่เกิน ๒๕ ตัวหรือ
- สั่งทำลายไก่ เป็ด และ/หรือห่าน คราวละไม่เกิน ๕๐๐ ตัว
19. ใช้วัตถุมีพิษให้สัตว์กินหรือฉีดเข้าร่างกายสัตว์เพื่อให้สัตว์นั้นตาย
20. ฆ่าทำลายสัตว์ด้วยปืนชนิดยิงสัตว์โดยเฉพาะ ยิงสัตว์นั้นให้ตาย หรือ
21. ฆ่าทำลายด้วยอาวุธปืนตามกฎหมายอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนฯ และสิ่งเทียมอาวุธปืน ในกรณีเช่นนี้ ต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอแห่งท้องที่จังหวัดหรืออำเภอนั้นก่อนแล้วแต่กรณี
22. ซากสัตว์ที่ได้จากการทำลายให้ผู้ทำลายสัตว์จัดการฝังซากสัตว์เหล่านั้นใต้ระดับผิวดินไม่น้อยกว่า ๕๐ เซนติเมตร ถ้าเป็นสัตว์ใหญ่ให้พูนดินกลบหลุมเหนือระดับผิวดินไม่น้อยกว่า ๕๐ เซนติเมตร
23. ให้ใช้วิธีการต่อไปนี้ ทำลายซากสัตว์ที่เป็นโรคระบาดหรือซากสัตว์ที่เป็นพาหะของโรคระบาด ตามลักษณะของซากสัตว์ดังนี้
- ซากสัตว์ซึ่งมีลักษณะยังเป็นตัวสัตว์ทั้งตัวอยู่
- ให้ผู้สั่งทำลายซากสัตว์มีคำสั่งให้ฝังซากสัตว์ใต้ระดับผิวดินไม่น้อยกว่า ๕๐ เซนติเมตร ถ้าเป็นสัตว์ใหญ่ให้พูนดินกลบหลุมเหนือระดับผิวดินไม่น้อยกว่า ๕๐ เซนติเมตรอีกด้วย
- ใช้สารเคมีที่สามารถฆ่าทำลายเชื้อจุลินทรีย์หรือเชื้อโรคต่างๆ ได้ ทำการแช่ ราด หรือโรยที่ส่วนต่างๆ ของซากสัตว์นั้นจนทั่ว หรือ
- ใช้ไฟเผาซากสัตว์นั้นให้ไหม้จนหมดสิ้น

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทที่ 2 การต่อต้านโรคของร่างกาย

บทที่ 2
การต่อต้านโรคของร่างกาย

กลไกการต่อต้านของร่างกาย
องค์ประกอบเกี่ยวกับการต่อต้านโรคที่มีอยู่ในตัวสัตว์ ( Factors oF host defence )
ได้แก่ ขน ผิวหนัง และเยื่อเมือกที่ปกคลุมผิวหนังภายนอกของร่างกายอยู่ในปราการกั้นตัวสำคัญมิให้เชื้อโรคบุกรุกเข้าสู่ร่างกาย นอกจากนั้น ขนจมูก น้ำตา การไอ หรือ จาม การไหลของปัสสาวะ ยังเป็นกลไกของร่างกายที่จะช่วยขับเชื้อโรคที่บุกรุกผ่านส่วนต่าง ๆ มิให้ไปสู่ร่างกาย ในกรณีนี้เชื้อโรคอาจบุกรุกเข้าไปถึงส่วนลึกเข้าไปในร่างกาย เช่น ช่องจมูกหลอดลม หรือในช่องคลอด คุณสมบัติทางเคมีในส่วนต่าง ๆ ดังกล่าว จะมีภาวะเป็นกรด ( LOW ph) ซึ่งจะทำลายเชื้อโรคได้อย่างดี น้ำย่อย ไลโซไซม์ ที่มีอยู่เป็นปรกติในน้ำตา น้ำมูก และ น้ำลายสามารถจะฆ่าเชื้อโรคโดยเฉพาะ แบคทีเรียได้อย่างดี ที่ผิวหนังก็ยังสามารถสร้างกรดไขมันที่อิ่มตัว ( unsat fatty acid ) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นตัวฆ่าเชื้อแบคทีเรีย bactericidal
ภาวะแวดล้อม เช่น ท้องที่เขตหนาว หรือเขตร้อน สัตว์เมืองร้อนอาจติดโรคจากเมืองหนาวได้ง่ายกว่าสัตว์ที่เกิดในเมืองหนาว หรือในทางตรงข้าม ในฤดูในมักมีโรคระบาดมากกว่าฤดูร้อน เช่น โรคคอบวม ( Homorrhagic septicemia ) ในโค กระบือ เป็นต้น
ปัจจุบันปัญหาเรื่องมลภาวะ ( pollution ) เป็นตัวการที่มีบทบาทสำคัญ ภาวะอากาศเป็นพิษ โดยเฉพาะจากท่อไอเสียรถยนต์ในเมืองใหญ่ ๆ ทำให้ระคายเคืองต่อคน หรือสัตว์ที่หายใจเข้าไปเกิดการระคายเคืองทำให้ติดโรคได้ง่าย เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายโดยผ่านปราการภายนอกเข้ามาได้ก็ยังต้องผ่านการป้องกันและตอบโต้จากตัวการภายในร่างกาย ( Internal fectors ) โดยปกติร่างกายจะมีภูมิต้านทางโรค ( Immunity ) ต่อการติดเชื้อโรคอยู่แล้วภูมิต้านทานโรคอาจจะสร้างขึ้นโดยตรงในตัวสัตว์ ( Active Immunity ) โดยการที่ร่างกายสร้างขึ้นเองหลังจากได้รับเชื้อโรค หรือสร้างขึ้นจาก ได้การฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ นอกจากนั้นภูมิต้านทานโรคอาจจะได้รับมาในรูปของแอนติเซรุ่ม ( Anti serum) หรือ ( Antitoxins ) เซลที่บุผนังไซนัสที่ต่อมน้ำเหลือง ที่ม้าม และเซลล์ใน Reticuloendothelial system ซึ่งเป็น Monouclear ceels จะทำหน้าที่ในการกินสิ่งแปลกปลอม
แบคทีเรียบางชนิดที่พบเป็นปรกติอาศัยอยู่ในร่างกายโดยเฉพาะในกระเพาะและลำไส้ของสัตว์ เช่น Lactobacillus sp. ยังช่วยเป็นตัวขัดขวางการรุกรานของแบคทีเรีย ( Body response ) ในตัวสัตว์บางชนิด เช่น ภาวะมีไข้ ( Fever )
เรื่องราวที่กล่าวมาเป็นองค์ประกอบที่ช่วยเสริมสมรรถนะร่างกาย ในการป้องกันการรุกรานของเชื้อโรค แต่ก็มีองค์ประกอบอีกหลายประการที่ทำให้ร่างกายมีโอกาส ติดโรคได้ง่ายขึ้นหรือ สัตว์มีความต้านทานโรคต่ำภาวะที่ใช้สัตว์ทำงานมากเกิน ไปหรือภาวะที่เกิดจากการขนย้ายสัตว์จากที่หนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่งก็ดี ทำให้สัตว์อ่อนเพลียตกอยู่ในภาวะเครียด ( Strees ) ทำให้ความต้านทานต่อโรคต่ำลง
สัตว์ที่ได้รับอาหารไม่เพียงพอหรือสัตว์ที่อดอาหารนาน ๆ ทำให้โอกาสติดโรคได้ง่ายขึ้น เช่นเดียวกับสัตว์ที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรังอย่างใดอย่างหนึ่ง
ในลูกสัตว์เกิดใหม่โดยปรกติจะไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มโรค แกมม่าโกลบูลินได้ จะได้รับจากแม่ซึ่งจะลดต่ำลงเมื่ออายุ 2 – 3 เดือน ซึ่งระยะนี้ลูกสัตว์จะสามารถสร้างแกมม่าโกลบูลิน และจะสามารถสร้างได้ดีขึ้นเลื่อย ๆ เมื่ออายุมากขึ้น ดังนั้นในช่วง 2 – 3 เดือนหลังคลอดลูก สัตว์จะมีแกมม่าโกลบูลิน ( phrsiologic hypogammaglobulinemia ) ช่วงระยะนี้จะติดโรคได้ง่าย โดยเฉพาะโรคปอดอักเสบติดเชื้อ ( phemonia ) นอกจากนั้นชนิดสัตว์ ( Genus ) พันธุ์สัตว์ ( breed ) เพศ ( sex ) ตลอดจนสีของผิวหนัง ( coloer ) ก็มีอิทธิพลต่อการติดโรคดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
องค์ประกอบในด้านความรุนแรงของเชื้อโรค ( Factors of Microbe Virulence )
โดยทั่วไปแล้วเชื้อโรคทำให้เกิดโรคได้ 2 แบบ คือ
1. สมรรถนะการรุนแรงของเชื้อโรคโดยตรง
2. สารพิษหรือทอกซินที่สร้างขึ้นจากเชื้อโรค ( Toxin production )
ก่อนที่เชื้อโรคจะทำให้เกิดพยาธิสภาพในร่างกายสัตว์ได้ ตัวเชื้อโรคเองจะต้องมีชีวิต และเพิ่ม
จำนวนได้ในอวัยวะหรือเนื้อเยื่อโดยปกติเชื้อโรคทุกชนิดมีความแตกต่างกันในการที่จะเพิ่มจำนวน ได้ดีในอวัยวะต่าง ๆ ซึ่งเป็นไปตามปรากฏการของการเกิดโรคตามอวัยวะ (phemonia of Orgenotropism or Orgenotropism ) ตัวอย่างเช่น เชื้อ Brucella abortus ทำให้เกิดพยาธิวิการปฐมภูมิ ( primary Lesion ) ขึ้นที่อวัยวะระบบสืบพันธุ์ของสัตว์ในขณะที่เชื้อ Pesteurella multcoida มักทำให้พยาธิวิการปฐมภูมิขึ้นที่ปอด และ ทำให้เกิดปอดอักเสบ เป็นต้น
เชื้อโรคบางชนิดเช่นเชื้อ Pheumocococus sp. สามารถสร้าง phagocytic capsules เพื่อป้องกันการโจมตีจากเม็ดเลือดขาว Neutrophil และ monocytes
เชื้อวัณโรคยังสามารถสร้างแคปซูลที่หนาเพื่อป้องกันน้ำย่อย Lysozyme จาก Neutrophil และ monocytes แม้ว่าวัณโรคจะถูกกินไปอยู่ในเซลล์ของ Neutrophil หรือ monocytes แล้วก็ตามก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ ( Intracellular Viabilit )
เชื้อแบคทีเรียตัวอื่น ๆ เช่นเชื้อ Brucella ก็มีชีวิตอยู่ใน monocytes ได้และจะทำให้เกิดจุดวิการ แห่งใหม่ ( Secondary foci of infection ) ขึ้นอีกได้เมื่อ monocytes เคลื่อนที่ไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
แบคทีเรียบางชนิดก็สามารถที่จะต้านปฏิชีวนะบางตัว โดยเฉพาะยา penicilin ซึ่งฆ่าแบคทีเรียด้วยการทำลายผนังเซลล์ แต่แบคทีเรียบางตัวสามารถจะทนอยู่ได้ในสภาพไร้ผนังเซลล์ ซึ่งจะสามารถเป็นเชื้อที่รุนแรงขึ้น หลังจากสร้างผนังเซลล์ขึ้นมาใหม่ทำให้เกิดพยาธิสภาพที่รุนแรงขึ้นอีกเป็นต้น
จุลชีพหรือเชื้อโรคบางชนิดสามารถจะบุกรุกและทำลายเนื้อเยื่อโดยการขับเอนไซด์บางชนิด นอกจากนี้ เชื้อ streptococus ptogenus สามารถสร้างเอนไซม์ “ Hyaluronidase” ซึ่งจะทำให้ยาปฏิชีวนะ penicilin เสื่อมสภาพลงและทำให้เชื้อตัวนี้สามารถต้านยา penicilin ได้ดี
ในบางครั้งจุดสภาวะแวดล้อม ทำให้มีการแปลเปลี่ยน ทาง gene ( genetic muration ) ของจุลชีพเกิดขึ้น เป็นผลทำให้จุลชีพมีความรุนแรง เพิ่มขึ้นทั้งทางด้านสมรรถนะการรุกราน ( invastiveness ) และการสร้างท๊อกซิน ( Toxigenicity ) แบคทีเรียบางอย่างเพาะเลี้ยงในอาหารเลี้ยงเชื้อ อาจจะเกิดการแปลเปลี่ยนทาง gene หรือสามารถสร้างผนังเซลล์ให้หนาขึ้น เช่นการเปลี่ยนลักษณะ colonies ในอาหารเลี้ยงเชื้อ จากขลุขละ ( Rough ) เป็นเรียบ ( smoth ) ซึ่งมีความทนทานต่อยาปฏิชีวนะได้ดีขึ้น
แบคทีเรียบางชนิด เช่น เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค คอตีบในคน ( diphtheriabacilli ) จะไม่สร้างท๊อกซิน จนกว่าจะมีการติดเชื้อไวรัส เชื้อไวรัสที่ infect ทีเรียเรียก “ bacteriophage “ ไวรัสที่ติดต่อเข้าไปในเชื้อโรคตอตีบ เรียก beta-phage
ท๊อกซินที่สร้างขึ้นโดยแบคทีเรีย แบ่งเป็น 2 ชนิด
1. Exotoxinsเป็นผลิตผลจากเมตาบอริซึม ( metabolic product ) ของแบคทีเรียแล้วขับออกมาจากตัวในขณะที่แบคทีเรียยังมีชีวิตอยู่
2. Endotoxins สร้างจากผนังเซลล์จัดเป็นพวก phogpholipids มักจะขับออกเมื่อเซลล์แบคทีเรียตายลง หรือผนังเซลล์แตกฉีก

ภูมิคุ้มกันโรค ( Immunity )
เมื่อร่างกายได้รับเชื้อโรค จะโดยทางใดก็ตาม ร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาต่อต้านเชื้อโรค ซึ่งเป็นสิ่งแปลกปลอม เพราะร่างกายมีระบบป้องกันของร่างกาย ระบบการป้องกันของร่างกายนี้แท้จริง หน้าที่เพื่อต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย แต่ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นมาก็อาจเป็นผลเสียแก่ร่างกายได้ยกตัวอย่าง เช่น การเกิด histamine ในร่างกายเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายเพื่อทำลายเชื้อโรค ก็มีผลเสียหลาย ๆ ประการต่อร่างกายของสัตว์เอง ภูมิคุ้มกันประเภทนี้เป็นภูมิไม่จำเพาะของร่างกาย ( non – specific immunity )
ภูมิคุ้มกันอีกประเภทหนึ่ง เป็นภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะของร่างกาย ( specific immunity ) ภูมิคุ้มกันแบบนี้ ได้แก่ antibody ซึ่งได้จากระบบน้ำเหลือง ( lymphatic system ) แต่การสร้าง antibody นั้นร่างกายต้องใช้ระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นในระยะแรกที่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายแบบ non specific immunity จะทำงานก่อน จนกว่าระบบน้ำเหลืองจะสร้าง specific immunity คือ antibody
Antibody คือ serum protein ที่เกิดการตอบโต้ของร่างกายต่อ anigen และมีปฏิกิริยาจำเพาะกับ antigen ด้วย
Antigen คือ สารที่เข้าไปในร่างกายแล้ว ทำให้ร่างกายสร้าง antibody อวัยวะที่ให้กำเนิดเซลที่ผลิต antibody

ภูมิคุ้มกันโรค (กล่าวว่า )
ความคุ้มโรค และการเกี่ยวข้องกันระหว่างสิ่งมีชีวิต
ลักษณะของการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต ในสภาวะแวดล้อมเดียวกัน แบ่งออกได้เป็น
1.Commensalism คือการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตในสภาวะแวดล้อมเดียวกัน แต่ไม่พึ่งพาอาศัยกัน และไม่ทำอันตรายซึ่งกันและกัน
2.Nutualism ( Symbiosis ) คือการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด ที่ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่ออยู่ในสภาวะแวดล้อมเดียวกัน เช่น เชื้อแบคทีเรีย และ โปรโตซัวบางชนิดที่อาศัยอยู่ใน ( Rumen )
ของสัตว์เคี้ยวเอื้อง ถ้าขาดชนิดใดชนิดหนึ่งอีกชนิดหนึ่งก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้
3. Parasites คือ การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด หรือมากกว่าซึ่งชนิดหนึ่ง จะต้องใช้เนื้อเยื่อหรือส่วนผลิตภัณฑ์ของอีกชนิดหนึ่งเป็นอาหาร
การที่สัตว์เกิดมีพยาธิรุกราน สัตว์นั้นก็จะมีปฏิกิริยาตอบโต้กับการรุกรานนั้น โดยจะเกิดตั้งแต่ง่ายที่สุดจนถึงยุ่งยากสลับซับซ้อน เช่น วัวแกว่งหาง ไล่แมลงที่มาดูดเลือดหรือ ระบบต่อต้านเชื้อโรค หรือ สิ่งแปลกปลอมที่เข้าในร่างกายที่ยุ่งยาก เช่น ( immuneresponse ) ของร่างกายที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับเชื้อแบคทีเรีย หรือ ไวรัสเข้าในร่างกาย
Prenunity หรือ Prenuniton หมายความถึง การที่สัตว์มีความคุ้มโรคที่เกิดขึ้นหลังจากมีการติดเชื้อชนิดเฉียบพลัน ซึ่งได้กลายเป็นการติดเชื้อชนิดเรื้อรัง และความคุ้มโรคนี้คงอยู่ในร่างกายได้นานตราบเท่าที่เชื้อชนิดนั้นยังคงอยู่ ในร่างกาย และยังสามารถที่จะป้องกัน การเกิดการติดเชื้อกลับ
( Reinfection ) ของเชื้อชนิดนั้นได้อีกด้วย ตัวอย่าง เช่นโรค ( piroplasmosos ) ซึ่งเกิดจาก
( blood parasite ) ชนิดหนึ่งนั้นถ้าสัตว์ป่วยยังคงมีเชื้อตัวนี้หรือชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์ของเชื้อนี้อยู่ในร่างกาย สัตว์นั้นก็จะมี ความคุ้มโรคต่อโรคนี้ และยังสามารถที่จะป้องกันการติดเชื้อกลับของเชื้อตัวนี้ได้อีกด้วย ถ้าสัตว์นั้นบังเอิญได้รับเชื้อตัวนี้อีก
บทบาทของแอนติบอดี ที่ร่างกายสร้างขึ้น ก็อาจมีผลเสียแก่ร่างกายเองก็ได้ เช่นการเกิด
( Histamine ) ที่เป็นตัวสำคัญที่ทำให้เกิดการทำลายของเนื้อเยื่อต่าง ๆ หรือการเกิด ( immune complex ) ที่เข้าไปอุดตันในไต
กลไกของภูมิคุ้มกันไม่จำเพาะของร่างกาย ( Nonspecific mechanism of immunity )
กลไกไม่จำเพาะของระบบป้องกันของร่างกายนับว่าสำคัญมากอย่างหนึ่ง ในการที่จะป้องกันไม่ให้สัตว์ชนิดหนึ่งถูกโจมตีโดยอนินทรีย์ ( Organisn ) ที่มีอยู่ในโรคนี้ ตัวอย่าง เช่น แผลมีดบาดหรือหนังถลอกเกิดขึ้นได้บ่อยมาก แต่การเกิดฝีหรือหนอง จากบาดแผลเหล่านี้ไม่บ่อยนัก ถึงแม้ว่า ซีรั่ม และเลือด จะเป็นตัวกลางที่ทำให้เชื้อแบคทีเรียเจริญได้ดีก็ตาม
ระหว่างที่มีอินทรีย์เข้าร่างกาย ระบบแอนติบอดี หรือผู้กระทำให้เกิดภูมิคุ้มกันจำเพาะ ( Specific immune agents ) เช่น ( Lymphocyte ) จะต้องใช้เวลานาน และในระหว่างที่ยังไม่เกิดแอนติบิดี้ ระบบป้องกันของร่างกายแบบไม่จำเพาะ จะเป็นตัวช่วยป้องกันไม่ให้อินทรีย์นั้นลุกลามใหญ่โต
กลไกของภูมิคุ้มกันไม่จำเพาะของร่างกาย แบ่งออกได้ดังนี้
1. ความแตกต่างทางเผ่าพันธุ์ ( Species differences ) โรคบางโรคไม่เกิดในสัตว์ชนิดหนึ่ง แต่จะเกิดในสัตว์อีกชนิด เช่น โรคปากและเท้าเปื่อยไม่เกิดขึ้นในม้าแต่จะเกิดเฉพาะในสัตว์กีบคู่ กลไกที่แท้จริงของเรื่องนี้ไม่มีใครพิสูจน์ได้ แต่อาจจะเกิดขึ้นจาก ปัจจัยยับยั้ง ( inhibitery factors ) หรือการขาดเมตาโบไลท์ที่จำเป็นในสัตว์บางชนิด ที่จะเป็นประโยชน์ต่อเชื้อนั้น
2. ความแตกต่างทางกรรมพันธุ์ ( Genetic differences ) แม้ว่าสัตว์จะอยู่ในเผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่ภูมิไวรับ ( Susceptibility ) ต่อโรคก็ไม่เหมือนกันเนื่องจากการแตกต่างกันในทางกรรมพันธุ์ ตัวอย่างเช่น ในอเมริกาจะเกิดขึ้นกับคนผิวดำมากว่าคนผิวขาว อาจจะเป็นเพราะว่า วัณโรคเกิดขึ้นมาในอเมริกานานจนกระทั่งคนผิวขาวเกิดยีนส์ที่คงทน ( Resistance gene ) ต่อเชื้อวัณโรคขึ้นมาก็ได้ หรือ โรครินเดอร์เปสต์ ที่มีความรุนแรง ของโรคน้อย เมื่อเกิดขึ้นในวัวทางอเมริกา หมูขาวหลายพันธุ์ ( Strain ) พบว่าคงทนต่อการติดเชื้อจาก ( Tripanosome )
3. ผิวหนัง ( Body integument ) สิ่งต่อต้านเชื้อโรคอันแรกของร่างกาย คือ ส่วนที่ปกคลุมร่างกาย เช่น ผิวหนังและ เยื่อเมื่อก พวกกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว ( Unsaturated fatty acit ) ที่พบในสิ่งคัดหลั่ง ( Sacretion ) ของต่อมไขมัน ( Sebaceous gland ) หรือกรดแลคติคจากเหงื่อ หรือเกลือที่แห้งจากเหงื่อ จะเป็นตัวช่วยทำลายเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังได้เป็นอย่างดี พวกน้ำเมือก ( mucos ) ที่อยู่ตามเยื่อเมือก เช่นท่อหายใจหรือ ท่อสืบพันธุ์ จะเป็นตัวเชื้อแบคทีเรีย พวกกรดต่าง ๆ ที่อยู่ในกระเพาะ ลำไส้ ก็สามารถที่จะทำลาย แบคทีเรียได้เช่นกัน
4. ปัจจัยทางสรีรวิทยา ( physiological factors )
4.1 อุณหภูมิของร่างกาย อุณหภูมิของร่างกายประมาณเกือบ 39 0 C หรือของไก่ประมาณ 42 0 C จะเป็นตัวทำให้เชื้อแบคทีเรียส่วนใหญ่ไม่สามารถจะเจริญเติบโตได้ การที่สัตว์เล็กเกิดไขสูงขณะติดเชื้อ ก็เป็นกระบวนการอันหนึ่งที่ช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในร่างกายได้
4.2 สภาวะทางเมาตาโบลิค ( matabotic state ) เชื้อโรค ( brucella ) ทำให้เกิดโรคได้ในสัตว์หลายชนิด รวมทั้ง วัว , ควาย , แพะ , แกะ ซึ่งสัตว์เหล่านี้จะมีน้ำตาลชนิดหนึ่งเรียกว่า ( erythritol ) ซึ่งอยู่ในเนื้อเยื่อรก ( placenta ) และในกลุ่มของสัตว์ เช่น คน , หนู , กระต่าย , หนูตะเภา ซึ่งขาดน้ำตาลชนิดนี้ แม้ว่าอยู่ในบริเวณที่เกิดโรคก็ไม่ติดโรค หรือเชื้อวัณโรคในคนมักจะเกิดขึ้นที่ ( apical lobe ) ก่อน เพราะว่ามีออกซิเจนมากกว่า ( lode )
4.3 อายุ โรคบางโรคเป็นรุนแรงในลูกสัตว์ แต่ไม่รุนแรงในสัตว์โตเต็มที่ เช่น เชื่อ ( E . coli ) ในหมูมักจะเป็นรุนแรงในหมูอายุน้อย ๆ
5. ปัจจัยทางเลือด และเซลล์ ( numoral and cellular factors ) มีสารหลายชนิดที่สามารถจะยับยั้งการเติบโตของ ( parasite ) เช่นสารสกัดจากเนื้อเยื่อของร่างกาย , ซีร่ม , สิ่งคัดหลั่งจากต่อมต่าง ๆ
( ltsozyme) ที่พบในเนื้อเยื่อ , เยื่อเมื่อกในช่องจมูก , ลำไส้, น้ำลาย , น้ำตา , ในเม็ดเลือกขาวหลายชนิด สามารถที่จะทำให้สารประกอบ (mucopeptide ) ที่ประกอบเป็นผนังเซลล์ของแบคทีเรียแตกได้
properdin เป็นสารชนิดหนึ่งในซีรั่ม ที่สามารถจะทำลายแบคทีเรียทั้งแกรมบวกและแกรมลบ ได้หลายชนิดสารที่มีคุณสมบัติคล้าย และ properdin และ complement ก็ทำให้เกิดปรากฏการที่เรียกว่า ซึ่งจะช่วยทำให้กลืนน้ำลาย ( ) ของเม็ดเลือดขาวทำได้ดียิ่งขึ้น
พวก ( ) ก็สามารถที่จะป้องกัน หรือทำลายจุลินทรีย์ได้ เช่น กรณีที่สัตว์อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีจุลินทรีย์ชนิดต่าง ๆ ก็จะเกิดแอนติบอดีต่อจุลินทรีย์ชนิดนั้น ๆ ขึ้นและแอนติบอดีนี้อาจจะมีปฏิกิริยาข้าม ( cross reaction ) ต่อจุลินทรีย์ชนิดอื่น ๆ ซึ่งแอนติบอดีนี้ก็อาจจะทำลายจุลินทรีย์ชนิดนั้นได้เช่นกัน
ภูมิคุ้มกันที่ได้มาแบบจำเพาะ ( Specific acquircd immunity )
ภูมิคุ้มกันที่ได้แบบจำเพาะ คือ ภูมิคุ้มกันแบบจำเพราะที่เกิดขึ้นในร่างกายเพื่อต่อต้านกับสิ่งแปลกปลอมหรือตัวก่อโรค ( pathogen ) ที่เข้ามาในร่างกาย
ข้อแตกต่างระหว่างภูมิคุ้มกันที่ได้มาแบบจำเพาะ กับภูมิคุ้มกันแบบไม่จำเพาะ ของร่างกาย คือ
1. ความจำเพาะ ( Specificity ) เป็นสมบัติของการตอบโต้ของภูมิคุ้มกัน ที่สามารถแยก
ออกซิเจน ( Antigen ) ชนิดหนึ่งออกจากออกซิเจนอีกชนิดหนึ่ง
2. Heterogeniety การมีลักษณะของปฏิกริยาจากเซลล์หลายชนิด และการเกี่ยวข้องกัน (
Interaction ) ของตัวลูกอาศัย ( host ) กับออกซิเจนก็มีได้หลายแบบด้วย
3. ความทรงจำ ( Memory ) คือการจำได้ของ ( cell line ) ที่เกิดขึ้นหลังจากการมีออกซิเจนเข้า
มาในร่างกายเป็นครั้งที่สอง
ภูมิคุ้มกันที่ได้มาแบบจำเพาะ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
1. ภูมิคุ้มกันจากน้ำในร่างกาย ( humoral immunity ) หมายถึงภูมิคุ้มกันที่เกิดจากแอนติบอดี
ภูมิคุ้มกันนี้มักจะมีผลต่อ ( parasite ) ตัวเล็ก ๆ เช่น ไวรัส , แบบทีเรีย หรือสารละลายน้ำลายได้ ( Soluble material ) เช่น พิษ ( toxin )
2. ภูมิคุ้มกันจากเซลล์ ( Cell mediated immunity ) หมายถึง ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากเซลล์นี้ก็
คือ ( small lymphocyte ) ภูมิคุ้มกันนี้มักจะมีผลต่อแบคทีเรียหรือ ( parasite ) ที่ตัวค่อนข้างโต
แอนติเจน ( Antigen or immunogen )
แอนติเจน คือ สารที่เข้าในร่างกายและจำทำให้ร่างกายสร้างแอนติบอดี หรือปฎิกริยาจากเซลล์ขึ้น และทั้งแอนติบอดี หรือปฎิกริยาจากเซลล์นั้น จะมีปฎิกริยาจำเพาะต่อแอนติเจนนั้น
ลักษณะของแอนติเจน
1. เป็นสิ่งแปลกปลอมทางกรรมพันธุ์ ( Genetically foreign ) ต่อตัวลูกอาศัย ( host ) แต่ก็มีข้อยกเว้นในรายของ ( Autologous antigen ) ที่ทำให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีต่อต้านกับเนื้อเยื่อของตัวเอง หรือในกรณีของ ( hidden antigen ) ซึ่งเป็นแอนติเจนที่ในสภาวะปกติจะไม่แสดงออกมา แต่จากสภาวะบางอย่างทำให้แอนติเจนนั้นลูกแสดงออกมา แล้วร่างกายก็สร้างแอนติบอดีขึ้นต่อต้าน ( Autoantibody )
2. มีน้ำหนักโมเลกุลอย่างน้อยที่สุด 5,000 แต่ยังมีสารที่เรียกว่า ( hepten ) ซึ่งมีน้ำหนักโมเลกุลต่ำกว่า 5,000 สารนี้กระตุ้นให้เกิดแอนติบอดีได้โดยที่จะต้องรวมกับตัวนำพาโปรตีน ( protein carrier ) ถ้า ( hapten ) อย่างเดียวจะไม่สามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดี แต่สามารถรวมกับแอนติบอดีที่เกิดขึ้นได้
3. Complexity ปัจจัยต่าง ๆ ที่บ่งชี้ถึง ( complexity ) ของแอนติเจนรวมรวมทั้งสมบัติทั้งทางฟิสิกส์และเคมีของโมเลกุล สภาพการรวมตัวของโปรตีนก็มีผลต่อ ( immuno genicity ) ของแอนติเจน พวก monomeric protein อาจจะทำให้เกิด tolerance ได้ง่าย แต่พวก ( highly immunogenicit ) มักจะเป็น ( polymeric ) หรือ ( aggregated state )
4. Conformation รูปร่างของแอนติเจนก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะพวก ( linear ) หรือ
( branched polypeptide ) หรือ ( carbohydrate ) รวมทั้ง ( globular protein ) เป็นแอนติเจนที่ดีมาก
5. ประจุไฟฟ้า ( charge ) พวกโมเลกุลที่มีประจุไฟฟ้าลบ ล พวก หรือเป็นกลางเป็นแอนติเจน
ได้ทั้งสิน แต่อย่างไรก็ตาม ( net charge ) ของแอนติเจนจะมีผลต่อ ( net charge) ของแอนติบอดี พวกแอนติเจนที่มีประจุ บวก จะกระตุ้นให้เกิดแอนติบอดีชนิดประจุ ลบ
ส่วนใหญ่ของแอนติเจนเป็น โปรตีน เช่น ซีรั่มอัลบลูมีน, พิษของ ( Clostridium ) และ
( Staphylococus ) ไวรัส , พิษงู , ซีรั่มโปรตีน และที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือ โมเลกุลของแอนติบอดีของสัตว์แต่ละพันธุ์ ( species )
Polysaccharide ก็เป็นแอนติเจนอันดับ 2 รองลงมาจากโปรตีน แม้ว่าบางกรณี ( pclysaccharide antigen ) จะรวมอยู่กับโปรตีนในรูปของ ( mucopolysaccharide polysaccharide antigen ) พบในแคปซูลของแบคทีเรียหลายชนิด ( pasteurella , Streptococcus )
ไขมัน ( lipid ) ปกติแล้วไขมันไม่เป็นแอนติเจนที่ดี แต่พบว่าในซีรั่มของคนที่ป่วยด้วยโรค ซิพิลิส จะสามารถทำปฎิกริยากับ glycolipid ( cardiolipid ) ซึ่งแยกสกัดมาจากกล้ามเนื้อหัวใจได้
ยังมีสารอีกหลายชนิดที่เป็นแอนติเจน เช่น
Lipoprotein Serum lipoprotein , ecll membrane
Lipopolysaccharide เช่น cell wall ของแบคทีเรียชนิดกรัม บวก ( Endotoxin )
Polypeptide เช่น อินซูลีน
Glvcoprotein เช่น กลุ่มเลือด ( Blood group ) A and B
1. จากสมบัติทางหน้าที่ ( Functional proterty ) การแบ่งชนิดของแอนติบอดีจากวิธีนี้ ขึ้นอยู่กับ
ความสามารุทางหน้าที่ของแอนติบอดีเป็นสำคัญ ซึ่งจะแบ่งแอนติบอดีออกได้เป็น
1.1 Lysis แอนติบอดีชนิดนี้ทำให้ ( protozoa ) แบคทีเรียหรือเม็ดเลือดแดงที่เกิดจากแตก
( Lysis )
1.2 Agglutinins แอนติบอดีนี้ทำให้แบคทีเรีย , เม็ดเลือดแดงจับตัวเป็นกลุ่ม
1.3 Precipitins แอนติบอดีชนิดนี้จำทำให้เกิดการตกตะกอน ( Precipitation ) เมื่อจับกับ
แอนติเจนที่มีขนาดเล็ก ๆ
1.4 Opsonins แอนติบอดีที่ทำให้เกิดการกลืนทำลาย ( phagocyiosis )
ในสัตว์พบว่ามีแอนติบอดี 4 ชนิดคือ IgG , IgA , Igm และ IgE
1. IgG เป็น A6 ที่พบมากที่สุดในซีรั่ม มันสามารถผ่านผนังหลอดเลือดฝอย และพบในน้ำเนื้อ ( fissue fluid ) เป็น ( Ig ) ที่สำคัญใน ( colostrum ) และเหงื่อ ( IgG ) สามารถผ่านนกได้ ( placenta ) จึงเป็น ( Ab) ที่ติดต่อลูกอ่อนหลังคลอดได้โดยเฉพาะในคน ( Half life ) ของ IgG ) ในเลือดประมาณ 23 วัน
2. IgM พบมากในเลือดแต่พบน้อยใน ( tissue fluid ) ขนาดโมเลกุลใหญ่ไม่สามารถผ่านออกมา
จากหลอดเลือดได้และไม่สามาถผ่านรกได้ เป็น ( Ab ) ชนิดแรกที่พบหลังจากการก่อภูมิคุ้มกัน ครั้งแรก ( first immunigation ) ( half life ) ในเลือด 5 วัน )
3. IgA มีในซีรั่มมากกว่า ( IgM ) และมีมากที่สุดในน้ำคัดหลัง ( Scretion ) เช่น น้ำตา น้ำลาย
น้ำเมือกในหลอดลม และจากต่อมต่าง ๆ ในทางเดินอาหาร ( Half life ) 2 วัน
4. Ige พบน้อยใน ( Serum ) ถูกสร้างขึ้นจาก ( lymphoid tissue ) อันใดอันหนึ่งของ
แอนติบอดีซึ่งเข้าได้กับตัวบ่งชี้แอนดีเจนวึ่งอยู่บนผิวของแอนติเจนตนั้น การติดกันนี้ขึ้นอยู่กับหมากปัจจัย ( Fectors ) เช่น ประจุไฟฟ้าของโมเลกุลที่ตรงกันข้าม , แรงดึงดูดเช่น แรง ( Vander waals ) หรือ ( hydrogen bond ) ในระหว่างโปรตีนโมเลกุล ความแข็งแรงของกำลังติดกันนี้จะขึ้นกับ ( ionic strength ) และ ( pH ) ถึง ( pH ) ถ้า ( pH ) ต่ำจะทำให้ ( Antigen – antibody complex ) แยกตัวออก
ปฎิกริยาระหว่างแอนติเจนกับแอนติบอดีแบ่งออกได้เป็น 3 พวก
1. Primary ( initial ) intoraction เป็นการรวมตัวขั้นแรกของแอนติเจนเข้ากับ combinaing site
ของแอนติบอดี ปฎิกริยานี้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเกิดขึ้นโดยวิธีต่าง ๆ เช่น การตกตะกอน antig en – antibody complex ด้วย ammonium aulfate ( Farr techniques ) หรือทำ Equilibrium dialysis เป็นต้น
2. gecondary intaraction เป็นปฎิกริยาระหว่างแอนติเจนกับแอนติบอดีที่สามารถมองเห็นได้ด้วย
ตาเปล่า เช่น การตกตะกอน ( Precipitation ) การจับกลุ่ม ( Agglutingtiou ) Gomplemont dopondent interaction , Neutralization และ Cytotropic effects ปฎิกริยาเหล่านี้สำคัญในการวินิจฉัยโรคหลาย ๆ อย่าง และเป็นวิธีการพื้นบานของการตรวจโรคต่าง ๆ ทางห้องปฏิบัติการด้วย
3. Tertiary manifostation ปฏิกริยานี้ลูกจำกัดอยู่ในร่างกายเท่านั้น ( Invivo ) และอาจจะเป็นทั้ง
ผลดีและผลเสียแก่ตัวลูกอาศัย เช่น ปฏิกริยาการตกตะกอนในโรค Lupus orythrematosus เกิดจาก mntigen – antibody – complex ทำให้เกิดการอุดตันที่หลอดเลือดในไต หรือเกิดการอมน้ำเนื่องจาก antigen – antibody complex ไปเปลี่ยน permcability ของหลอดเลือดเป็นต้น
ปฏิกริยาการตกตะกอน ( procipitation)
ปฎิกริยาการตกตะกอน เป็น ปฎิกริยาระหว่างแอนติเจนที่ละลายได้ ( Soluble or
Collodml antigen ) กับแอนติบอดีจำเพาะปฎิกริยานี้สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เมื่อเกิดการตกตะกอน ( Ig ) ชนิดที่สามารถทำให้เกิดการตกตะกอนได้ดีที่สุดได้แก่ ( IgG ) รองลงมาเป็น ( IgM ) ส่วน ( IgA ) และ ( IgE ) ไม่ทำให้เกิดการตกตะกอน
ปฎิกริยาการตกตะกอนขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง เช่น Ionic strength ความเป็น กรด – ด่าง อุณหภูมิ จากปัจจัยเหล่านี้ ปฎิกริยาการตกตะกอนที่ถูกทำขึ้นในหลอดทดลอง ( in vitro ) จึงต้องทำให้อุณหภูมิที่จำเพาะ หรือใน builer ที่มี electrolyte พอเหมาะ
1. การตรวจสอบปฎิกริยาการตกตะกอนอย่างง่าย ( Simple precipitationest )
การตรวจสอบปฎิกริยาการตกตะกอนด้วยวิธีนี้ เป็นการสังเหตุดูการตกตะกอนที่เกิดขึ้นจากการใส่
แอนติเจนลงในแอนติซีรั่ม ซึ่งทำในหลอดทดลอง เช่น ในการตรวจสอบการจัดหาหมวดหมู่ ของ เชื้อ Streptococcus / ด้วยวิธีของ Lancefield , หรือ ในการแยกเผ่าพันธุ์ ( Speciec ) ของสัตว์ที่ถูกแมลงดูดเลือดกัด การตรวจเนื้อสัตว์และการทำ Ascoli test เพื่อการชันสูตรโรค Anthrax เป็นต้น
ในการตรวจสอบนี้ จะต้องใส่แอนติเจนของบนผิวหน้าของแอนติซีรั่มอยู่ในหลอดทดลองแคบ ๆ และตรวจดูการตกตะกอนที่เกิดขึ้นระหว่างรอยต่อของแอนติเจนและแอนติบอดี ในการแยกเผ่าพันธุ์ของสัตว์ที่ถูกแมลงดูดเลือดกัดหรือการตรวจเนื้อสัตวื ก็ใช้เลือดจากแมลงหรือเนื้อสัตว์มาแยกสกัด ( extract ) เอาแต่สารละลายออก แล้วทำการตกตะกอนในหลอดแคบ ๆ โดยทำปฎิกริยากับแอนตีซีรั่มจำเพาะที่เตรียมได้จากการนำเอาซีรั่มของสัตวืต่าง ๆ ไปฉีดเข้ากระต่าย แล้วเอาวีรั่มกระต่ายเหล่านั้นมาใช้เป็นแอนติซีรั่มจำเพาะ ถ้าในหลอดใดเกิดการตกตะกอน ก็แสดงว่าเป็น เลือกหรือเนื้อของสัตว์ชนิดนั้น
วิธีการของ Ascli test เพื่อชันสูตรโรคแอนแทร์ก จากซากสัตว์โดยใช้เนื้อเยื่อของสัตว์ที่สงสัย ต้มใน 0.01 % Acetie acid แล้วเอาสารสกัดนี้ใส่ลงบนผิวหน้าแของแอนติซีรั่มต่อต้านเชื้อ Antjrax ถ้าเกิดการตกตะกอนเป็นวงแหวนที่บริเวรรอยต่อระหว่าง สารแยกสกัด แอนติซีรัม ก็แสดงว่าสัตวืนั้นป่วยด้วยโรคแอนแทร์ก
2. การตรวจสอบการตกตะกอนด้วยวุ้น ( Gel precipitation test )
ถ้าให้แอนติเจน และแอนติบอดี ทำปฎิกริยากันในตัวกลางที่เป็นวุ้น ( Agargel ) ก็สามารถสังเหตุ
การตกตะกอนได้ดีกว่าที่จะให้แอนติเจนและแอนติบอดีทำปฎิกริยากันตามลำพังในหลอดทดลอง การตรวจสอบแบบนี้เรียกว่า Immunodifusion test หรือ Gel precipitation test วิธีนี้นิยมกันมากเพาะว่าทำง่าย ความไวของปฎิกริยาก็ดีพอสมควร และ ข้อมูลที่ได้รับจากผลของการตกตะกอนก็สามารถจะนำไปใช้ได้มาก

หลักการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
การสร้างภูมิคุ้มกัน ( immunization ) เป็นการทำให้เกิดภูมิคุ้มกันขึ้นด้วยความจงใจ ( intentional immunity ) หรือด้วยวิธีที่ไม่ใช่ธรรมชาติ ( artificial immunity ) เพื่อให้มีความหมายแตกต่างจากภูมิคุ้มกันที่ได้มาโดยวิธีธรรมชาติ ( natural immunity ) ซึ่งอาจเป็นภูมิคุ้มกันที่ได้จากการติดเชื้อโดยธรรมชาติ ( active natural immunity ) หรือภูมิคุ้มกันที่ได้จากแอนติบอดีของแม่ที่ผ่านรกเข้าสู่ตัวลูก ( passive natural immunity ) หรือภูมิคุ้มกันที่เกี่ยวกับเม็ดโลหิตขาวในเลือด กรดในกระเพาะอาหาร น้ำย่อยในน้ำลายและทางเดินอาหาร จุลชีพเจ้าถิ่นที่อยู่ในลำไส้และในช่องคลอดที่คอยต่อสู้หรือกีดขวางจุลชีพก่อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย หรือผิวหนังหรือเยื่อบุผิวที่ขวางกั้นจุลชีพก่อโรคที่จะเข้าสู่ร่างกาย เรียกภูมิคุ้มกันประเภทหลังซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในร่างกายว่าภิต้านทานโดยกำเนิด” innate immunty ”
Innate immunty แม้จะปฏิบัติงานได้ทันทีเพราะมีความพร้อมอยู่แล้วในร่างกาย แต่ก็ไม่มีความจำเพาะสำหรับจุลชีพใดจุลชีพหนึ่ง ดังนั้นประสิทธิภาพในการป้องกันโรคหนึ่งๆจึงไม่ค่อยดีนัก passive natural immunity ก็หมดจากร่างกายทารกเร็ว เพราะช่วงครึ่งชีวิตของแอนติบอดีจะอยู่เพียง ๒๘ วันเท่านั้น
ภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการติดเชื้อโดยธรรมชาติ ( active natural immunity ) แม้ส่วนใหญ่จะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอยูไปได้ตลอดชีวิต( life-long immunity ) แต่การติดเชื้อโดยธรรมชาติอาจทำให้เกิดการเจ็บป่วย ทรมาน ( morbidity ) และการตาย ( mortarity ) ขึ้นในบางราย เพราะการติดเชื้อบางอย่าง เช่น ไวรัส อาจยังไม่มียารักษาที่ได้ผลและอาจมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ หรือความพิการเกิดขึ้นจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ เพื่อป้องกันมิให้มีการติดเชื้อตามธรรมชาติ หรือลดความรุนแรงของการติดเชื้อตามธรรมชาติ โดยที่วิธีเสริมสร้างภูมิคุ้มกันนั้นจะต้องมีความปลอดภัยต่อผู้รับ ดังต่อไปนี้ เช่น

การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคในม้า
1. ลูกม้าแรกเกิดจะไม่มีภูมิคุ้มกันโรคใดๆ ต้องได้รับจากแม่โดยการดื่มนมน้ำเหลือง
( COLOSTRUM ) ภายใน 18 ชั่วโมง
2. นมน้ำเหลืองจะมีโปรตีนซึ่งมีคุณค่าสูง ย่อยง่าย มีฤทธิ์ช่วยระบายอ่อนๆ จะเป็นประโยชน์ต่อลูกม้าเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วง 18 ชั่วโมงแรกเกิด จะมีภูมิคุ้มกันจากแม่ในปริมาณที่มาก และสามารถดูดซึมผ่านลำไส้เข้าสู่ร่างกายลูกม้าได้ดี พบว่าสารนี้จะมีความเข้มข้นสูงสุดเฉพาะช่วง 12 – 24 ชั่วโมงแรก เท่านั้น
3. ลูกม้าจะเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้เมื่อมีอายุภายใน 1 – 3 เดือน
4. วัคซีนป้องกันโรคในม้ามีหลายชนิด ควรมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคม้าให้เหมาะสม ตามสภาพเมืองไทย และข้อกำหนดที่จำเป็นของสากล ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องส่งม้าไปต่างประเทศ โรคติดต่อในม้าที่ควรมีการฉีดวัคซีนป้องกัน คือ
- RHINOPNEUMONITIS ( โรคโพรงจมูกและปอดอักเสบ )
- INFLUENZA ( โรคไข้หวัดใหญ่ )
- JAPANESE ENCEPHALITIS ( JE. โรคไข้สมองอักเสบ )
- RABIES ( โรคพิษสุนัขบ้า )
- STRANGLES ( โรคมงคล่อ )
- TETANUS ( โรคบาดทะยัก )
5. ม้าทุกตัวจะต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรค TETANUS ส่วนการฉีดวัคซีนป้องกันโรค STRANGLESควรพิจารณาทำในม้ารุ่น หรือม้าอายุน้อย หรือพวกที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคในช่วงการระบาดของโรค
6. วัคซีนในม้าที่ควรฉีดในประเทศไทย กำหนดไว้ตามตารางข้างล่างนี้


โปรแกรมการฉีดวัคซีนสำหรับม้า
ชนิดวัคซีน
( Vaccine )
การฉีดครั้งแรก
( Initial Series )
การฉีดซ้ำ
( Booster )
1. INFLUENZA
ฉีด 2 ครั้ง
ห่างกัน 3 หรือ 4 อาทิตย์
ฉีดซ้ำปีละครั้ง
2. RABIES
ฉีด 2 ครั้ง
ทุกปี
3. STRANGLES
ฉีด 2 หรือ 3 ครั้ง
ทุกๆ 1 เดือน
ปีละครั้ง
4. TETANUS TOXOID
ลูกม้า 3 เดือน ฉีด 2 ครั้ง
ห่างกัน 3 – 4 อาทิตย์
ปีละครั้งหรือเมื่อมีบาดแผลหรือหลังผ่าตัด
5. RHINOPNEUMONITIS
ฉีด 2 ครั้ง
ห่างกัน 3 – 4 อาทิตย์
ในม้าท้อง 5,7, 9 เดือน
6. JAPANESE ENCEPHALITIS
ฉีด 2 ครั้ง
ห่างกัน 1 – 4 อาทิตย์
ซ้ำแม่ม้าก่อนคลอด 1 เดือน

7. เป็นหน้าที่ของสัตวแพทย์ในการกำหนดโปรแกรมการฉีดวัคซีนป้องกันโรค ตลอดจนโปรแกรมการถ่ายพยาธิที่มีประสิทธิภาพให้เหมาะสมกับสภาพในทุกๆ ด้านของหน่วยเลี้ยงม้า




วัคซีน ซีรั่มและทอกซอยด์
วัคซีน ( Vaccines กล่าวคือ เป็นผลิตผลที่เตรียมได้มาจากเชื้อโรคซึ่งทำให้เกิดโรคซึ่งทำให้ เกิดโรคหนึ่งโรคใดโดยเฉพาะ ที่ตัววัคซีนประกอบไปด้วย เชื้อจุลินทรีย์ที่มีชีวิต หรือตายแล้ว กล่าวคือ วัคซีนไวรัสที่มีชีวิตอยู่ จะเห็นได้ว่ามีอำนาจมากกว่าวัคซีนเชื้อไวรัสที่ตาย เพราะว่าเชื้อไวรัสในวัคซีนในวัคซีนจะสามารถเจริญเติบโตในร่างกายของสัตว์ได้ ในขณะที่วัคซีนเชื้อไวรัสที่ตายจะขึ้นอยู่กับตัวไวรัส ที่มีอยู่ในวัคซีนที่ให้แต่ละครั้ง โดยจะไปกระตุ้นการสร้างแอนตี้บอดี้ขึ้น วัคซีนที่ใช้ฉีดป้องกันโรคสัตว์จะเป็นวัคซีนเชื้อไวรัสชนิดเชื้อเป็น สำหรับวัคซีนที่เตรียมมาจากเชื้อแบคทีเรียจะเป็นชนิดเชื้อตาย หรือที่ได้ทำให้อ่อนกำลังลง และมักเรียกชื่อว่า “แบคทีริน “ ( bacterin )
กล่าวคือ เชื้อโรคที่ถูกทำให้เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเมื่อนำไปให้แก่สัตว์แล้ว สามารถทำให้สัตว์สร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคนั้น
Homogenous vaccine หมายถึง วัคซีนที่ประกอบด้วยแอนติเจนที่เตรียมได้จากตัวเชื้อจุลินทรีย์ ( pathogens ) ชนิดหนึ่งและใช้เพื่อป้องกันกับเชื้อจุลินทรีย์ชนิดนั้น เช่นวัคซีนป้องกันโรคนิวคาสเซิล ที่เตรียมได้จากเชื้อไวรัส นิวคาสเซิล เป็นต้น
Heterogenous vaccine หมายถึง วัคซินที่เตรียมได้จากเชื้อจุลินทรีย์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อฉีดเข้าลูกสุนัขอายุน้อย ๆ ก็จะสามารถป้องกันโรค หัดติดต่อ ( distemper ) ได้
Autogenous vaccine หมายถึง วัคซีนที่ได้จากรอยโรค หรือวิการของโรค หรือจุลชีพที่กำลังเกิดโรคในสัตว์โดยเอา จุลชีพนั้นมาทำเป็นวัคซีน แล้วฉีดกลับคืนเข้าไปในสัตว์ป่วยนั้น จะทำให้สัตว์ป่วยนั้นหายป่วยได้ เช่นวัคซีนที่ได้จากโรคฝีดาษไก่ วัคซีนที่ได้จากโรคหูดในสัตว์พวกเลี้ยงลูกด้วยนม เป็นต้น
Polyvalent vaccine หมายถึง วัคซีนที่ประกอบไปด้วย แอนติเจน หลายชนิดเช่น วัคซีนป้องกันโรคหลอดลมอักเสบ ซึ่งมีเชื้อไวรัสมากกว่าหนึ่งสเตรน เป็นต้น
Nonovalent vaccine หมายถึง วัคซีนที่ประกอบไปด้วยแอนติเจนเพียงชนิดเดียว (สเตรนเดียว) เช่น วัคซีนป้องกันโรคนิวคาสเซิล เป็นต้น

วัคซีน แบ่งออกเป็น 2 พวกใหญุ่ คือ
1. วัคซีนชนิดที่ทำจากเชื้อจุลินทรีย์ที่ตายแล้ว ( Nonreplicative or killed or inactivated vaccine )
(วัคซีนเชื้อตาย)
2. วัคซีนชนิดที่ทำจากเชื้อจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือทำให้อ่อนกำลังลง ( Repiicative or live or attenuated vaccine ) (วัคซีนเชื้อเป็น)
วัคซีนเชื้อตาย เป็นวัคซีนซึ่งเตรียมจากเชื้อจุลินทรีย์ ที่มีความรุนแรง ( virulnnt organism ) ที่ถูกทำให้ตาย โดย กรรมวิธีทางฟิสิกส์ หรือเคมีก็ตาม หรือบางอย่าง ( เช่นวัคซีนป้องกันโรคอหิวาห์ของ กรมปศุสัตว์) อาจเป็นพิษของเชื้อโรคที่เรียกว่า (Toxoid )จุลชีพในวัคซีน ประเภทนี้จะไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้อีกต่อไป



วัคซีนเชื้อเป็น เป็นวัคซีนซึ่งเตรียมจากเชื้อโรค (จุลินทรีย์) ที่มีความรุนแรง ( virulnnt organisms ) ที่ถูกทำให้อ่อนแรงลง (Attenuated ) หรือถูกทำให้เปลี่ยนแปลงไปกลายเป็นจุลชีพที่ไม่มีความรุนแรง ไม่สามารถทำให้เกิดโรคได้ การทำให้ลดความรุนแรงลงนั้น อาจใช้วิธีทางฟิสิกส์ เคมี หรือโดยการผ่านเข้าในไข่ฟัก หรือ ทิชชูว คัลเจอร์( tissue culture) หลาย ๆ ครั้ง จุลชีพเหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่สามารถเพิ่มจำนวนได้ ในตัวถูกอาศัย
วัคซีนเชื้อตาย มีความปลอดภัยเมื่อให้มากกว่า แต่ระยะเวลาการให้ภูมิคุ้มกันโรคจะน้อยกว่าวัคซีนชนิดเชื้อเป็น แต่วัคซีนชนิดเชื้อเป็นอาจทำให้เกิดโรคได้

การเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียในการใช้วัคซีนทั้ง 2 ชนิด
วัคซีนที่ทำจากเชื้อจุลินทรีย์ที่ตาย
วัคซีนที่ทำจากเชื้อจุลินทืรีย์ที่มีชีวิตอยู่หรือทำให้อ่อนกำลัง
· ปลอดภัย
· ความคุ้มโรคต่ำ
· ต้องฉีดกระตุ้น ( Booster ) หลายครั้ง จึงจะให้ความคุ้มอยู่ได้คงที่
· เกิดความไวผิดธรรมดาต่อแอนติเจน หรือ วัคซีน ( Hypersensitivity )
· เก็บง่าย , ใช้สดวก
· อาจทำให้เกิดโรคได้
· ความคุ้มโรคสูง
· ฉีดเพียงครั้งเดียวให้ความคุ้มอยู่ได้นาน

· ไม่เกิดความไวผิดธรรมดาต่อแอนติเจน หรือวัคซีน

· เก็บยาก (เก็บที่อุณหถูมิ 2 – 6 0 C.) ใช้ยาก


ทางที่ให้วัคซีน
1. ฉีดเข้าร่างกาย เช่น ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
2. พ่นเข้าทางจมูก หรือหยอด
3. ผสมอาหาร หรือ น้ำดื่ม
ประโยชน์ของการทำวัคซีน
1. ป้องกันโรค
2. รักษาโรค ถ้าให้วัคซีนเชื้อตายกับสัตว์ที่รับเชื้อโรคในระยะฟักตัว ใช้เป็นการรักษาได้

การใช้เซรุ่ม
- เซรุ่ม คือ ส่วนประกอบของเลือดสัตว์ ซึ่งแยกเอเฉพาะส่วนที่มีความคุ้มโรคอยู่ออกมาได้มาจากสัตว์ซึ่งร่างกายมีความคุ้มต่อโรคแล้ว ดังนี้เซรุ่มมีผลในการต่อต้านเชื้อโรคได้ทันที
- เซรุ่ม ให้ผลในการคุ้มโรคในระยะสั้น ดังนั้นจึงถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคมากกว่า แต่อาจใช้ให้ความคุ้มโรคแก่ลูกสัตว์ ซึ่งร่างกายยังไม่พร้อมที่จะสร้างความคุ้มโรคเอง
- การใช้เซรุ่มในสัตว์ก็เหมือนกับการใช้วัคซีน ต้องทำโดยผู้มีความรู้ เพราะผลการใช้เซรุ่มมีความเกี่ยวพันกับผลของการใช้วัคซีนด้วย ถ้าให้ในระยะใกล้เคียงกัน
- เซรุ่ม อาจเรียกว่า แอนตี้เซรุ่ม หรือ ไฮเปอร์อิมมูนเซรุ่ม ( Hyperimmune serum )

บทที่ 1 ประวัติความสำคัญ

บทที่ 1
ประวัติความสำคัญ

กล่าวนำทั่วไป
เวชกรรมป้องกัน กล่าวได้ว่า เป็นศาสตร์ว่าด้วยการศึกษา จาก การสังเกต การจำแนกความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกิดปรากฎต่าง ๆ ขึ้น หรืออุบัติการณ์ของโรค จากการใช้เหตุผล และสมมุติฐานเป็นสำคัญ
เวชกรรมป้องกัน กล่าวได้ว่า คือ ศาสตร์ของการเรียนรู้ธรรมชาติ ธรรมชาติมีปรากฏการณ์อย่างไร ก็เป็นอย่างนั้นทุกเมื่อเชื่อวันไม่เปลี่ยนแปลง เวชกรรมป้องกันจึงสามารถตั้งเป็นกฏแห่งความจริงนั้น ๆ ได้ เป็นความจริงที่สามารถพิสูจน์ ได้ ว่าเป็นความจริงตลอดเวลา เวชกรรมป้องกันไม่ต่างกันกับธรรมชาติ คือสรรพสิ่งหรือสิ่งแวดล้อม เป็นศาสตร์ว่าด้วยการเรียนรู้ความจริงตลอดเวลา

ประวัติความสำคัญ
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพทางการเกษตร เพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะอาชีพทางการเลี้ยงนั้น ได้มีการพัฒนาระบบการเลี้ยงไปทั้งประมาณและคุณภาพ ทั้งนี้เนื่องจากเพื่อผลิตอาหารทางด้านเนื้อสัตว์ให้เพียงพอกับประชากรของประเทศและของโลก ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่ส่งสัตว์เนื้อสัตว์ออกไปขายยังต่างประเทศ เป็นอันดับต้น ๆ ปีหนึ่ง ๆ รายได้จากการนำสัตว์ไปขายยังต่างประเทศมีเป็นจำนวนมาก ดังนั้นนโยบายหลักของรัฐบาล ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน คือการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจ เพื่อการกินดีอยู่ดี เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี
1. ความสำคัญด้านเศรษฐกิจ
1.1 ในสภาวะที่สัตว์ป่วยเป็นโรคนั้นจะต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาและในบางครั้งอาจถึงกับสูญเสียชีวิตสัตว์
1.2 มีผลต่อการส่งสินค้าไปต่างประเทศ เช่น โรคปากและเท้าเปื่อย ในโค กระบือ
1.3 เพิ่มค่าใช้จ่ายในการป้องกันโรค
2. ความสำคัญด้านสาธารณสุข
2.1 สุขภาพอนามัยของประชาชน รัฐบาลมุ่งเน้นให้ประชาชนตระหนักถึงอันตรายของโรคและพยาธิในปศุสัตว์ที่มีอยู่มาก ในจำนวนโรคเหล่านี้บางโรคสามารถติดต่อมายังคนได้
2.2 รัฐบาลต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการที่จะต้องรักษาผู้ป่วยจากการติดโรคจากสัตว์ และการผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันโรคในสัตว์เป็นจำนวนเงินไม่ใช้น้อย
3. ความสำคัญของการศึกษาโรคและพยาธิปศุสัตว์
3.1 เพื่อให้เกษตรกรที่ประกอบอาชีพสัตว์เลี้ยงจำเป็นอย่างยิ่งต้องศึกษาเกี่ยวกับโรคและพยาธิ
3.2 เพื่อจะได้รู้จักและป้องกันการเกิดโรคทั้งต่อตนเองและต่อสัตว์เลี้ยงได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะเป็นผลดี ในด้านผลผลิตภายในประเทศ และการส่งสัตว์ออกจำหน่ายไปยังต่างประเทศ พร้อมกับการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

การแบ่งลักษณะของโรค
การที่สัตว์เกิดโรคนั้นต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างมาประกอบกัน คือ D = H + A + E
Host เกี่ยวกับตัวสัตว์เอง ถ้าสัตว์ใดมีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง มีความต้านทานโรคดี สัตว์จะป่วยเป็นโรคได้ยาก ถ้าสัตว์ใดมีความอ่อนแอ ไม่มีความต้านทานโรค เมื่อได้รับเชื้อเข้าไปก็จะทำให้เป็นการเกิดโรคได้ง่าย
Agent ตัวเชื้อโรค ถ้าตัวสัตว์ได้รับเชื้อโรคเข้าไปมีความรุนแรงพอก็ทำให้สัตว์ป่วยเป็นโรคได้ง่าย ถ้าความรุนแรงของเชื้อโรคไม่พอ สัตว์ก็จะป่วยได้ยากหรือเป็นอย่างอ่อน
Environment สิ่งแวดล้อมมีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของสัตว์มาก สัตว์ที่เคยอยู่ที่อบอุ่น หรือหนาว ถ้านำมาเลี้ยงในแถบร้อน เช่นไทย สัตว์นั้นก็จะเกิดโรคได้ง่าย อัตราการเจริญเติบโตไม่ดี ให้ผลผลิตต่ำ เช่น วัวพันธุ์ Holstein Friesian ซึ่งเป็นวัวนมพันธุ์ดีจากสวิสเซอร์แลนด์ มีสถิติการให้นมสูงสุด ถ้านำวัวพันธุ์นี้มาเลี้ยงในประเทศไทยที่มีอากาศร้อน วัวนี้จะให้ผลผลิตต่ำกว่าลูกผสมเสียอีก และยังเป็นโรค Babesia ได้ง่าย การเปลี่ยนแปลงของอากาศจากร้อนเป็นหนาว และจากหนาวเป็นร้อนทันทีทันใด ก็จะมีผลกระทบกระเทือนแก่สัตว์เหมือนกัน
การที่สัตว์จะเกิดโรคได้นั้น จำเป็นต้องมีปัจจัยดังกล่าวมาแล้วเสริมซึ่งกันและกัน และการเป็นโรคนั้นยังมีระยะความรุนแรงของโรคต่างกันดังนี้ คือ
Per acte ความรุนแรงชนิดเฉียบพลัน
Acute ความรุนแรงชนิดร้ายแรง
Sub – acute ความรุนแรงชนิดชนิดอ่อน
Chronic ความรุนแรงชนิดเรื้อรัง

การแบ่งลักษณะของโรคสัตว์ แบ่งได้ดังนี้
1. แบ่งตามลักษณะอาการของการแพร่โรค
1.1 โรคติดต่อหรือโรคระบาด Coutagios Disease คือ โรคที่ติดต่อได้โดยทางตรงหรือ ทางอ้อม และติดต่อแพร่ระบาดไปได้รวดเร็วเป็นโรคที่เกิดจากการมีเชื้อ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส โปรโตซัว หรือ เกิดจากสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Bacillus anthracis โรคอหิวาห์สุกร ( Swine Fever ) เกิดจากเชื้อ Tortor suis
1.2 โรคติดต่อ ( Non Coutagious disease ) คือโรคที่เกิดขึ้นแล้วไม่มีการติดต่อไปยังตัวอื่น เป็นโรคเฉพาะตัว เช่น โรคขาดอาหารต่าง ๆ การเกิดบาดแผล อาหารติดคอ โรคท้องอืดในสัตว์เคี้ยวเอื้อง ฝี และหนองธรรมดา เป็นต้น
2. แบ่งตามชนิดของเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรค
2.1 โรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ( Bacterial disease ) เช่น บาดทะยัก (Tetanus ) วัณโรค ( Tuberculosis ) โรคคอบวม ( Hemorrhagic septicemia )
2.2 โรคที่เกิดจากไวรัส ( Viral disease ) เช่น โรคปากและเท้าเปื่อย ( Foot and Mouth disease ) โรคพิษสุนัขบ้า ( Rabies )
2.3 โรคที่เกิดจากตัวเบียฬ ( Parasitic disease ) เช่น โรคบิด ( Coccidiosis ) โรคขี้เรื้อน
( Mange )
2.4 โรคที่เกิดจากเชื้อรา ( Fungal disease ) เช่น ฝีระคำร้อย (Epizootic lymphangitis)
3. แบ่งตามระยะเวลาของการเกิดโรค
3.1 โรคที่เกิดจากกรรมพันธุ์ ( Heredity disease ) คือ โรคที่สืบเนืองมาจากไข่ (Ovum) และเชื้อตัวผู้ ( Sperm ) เช่น โรคไส้เลื่อนในสุกร ( Umbilical hermia ) โรคฮิบดีสพลาเซีย ( Hip displasia )
3.2 โรคที่เกิดขึ้นขณะเป็นลูกอ่อนก่อนคลอดหรือเป็นมาแต่กำเนิด ( Congenital disease ) โรคที่เกิดผิดปกติของการเจริญเติบโตของลูกอ่อนในท้อง เช่น โรคทวารหนักไม่เปิดในลูกสุกร โรคพยาธิตัวกลม โรคขี้ขาว ( Pullorum )
3.3 โรคที่เกิดขึ้นภายหลัง ( Acquired disease ) โรคที่เกิดขึ้นภายหลังโดยมีสาเหตุไม่เกี่ยวข้องกับสาเหตุอันแรกและที่สอง เช่น โรคลำไส้อักเสบ ( Enteritis ) โรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น อหิวาห์ไก่( Fonel cholera ) โรคบาดทะยัก ( Tetanus )

การติดต่อของโรค ( Transmission )
โรคสัตว์ มีสาเหตุ ๆ กันออกไปตามที่จำแนกแล้วทั้งหมด เชื้อโรคต่างชนิดกัน ย่อมต้องมีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกันในการดำรงชีวิตอยู่ทั้งในสิ่งแวดล้อม และในตัวสัตว์ที่มันเข้าไปทำให้เกิดโรคขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงสามารถจำแนกวิธีการที่เชื้อโรคต่าง ๆ ชนิดสามารถเข้าสู่ ( Infect ) ร่างกายสัตว์ได้ดังนี้
1. โดยการสัมผัสโดยตรง หมายถึง มีการติดเชื้อจากสัตว์ป่วยมายังสัตว์ที่ยังไม่ป่วยโดยตรง โดยไม่อาศัยพาหะอื่น ๆ วิธีนี้อาจเป็นไปได้โดย
- การกินสิ่งขับถ่าย ( excretion ) หรือสิ่งขับออก ( secretion ) ซึ่งมีเชื้อโรคของสัตว์ป่วยเข้าไป
- การสัมผัสกับผิวหนังที่ไม่มีบาดแผล เชื้อโรคจะแทรกซึมเข้าไปทางผิวหนังโดยตรง
- การเข้าทางบาดแผล เชื้อโรคบางชนิดที่เข้าทางบาดแผลของสัตว์ที่ยังไม่ป่วยได้ เช่น โรคพิษสุนัขบ้า เป็นต้น
- โดยการสืบพันธุ์ ระหว่างสัตว์ป่วยกับสัตว์ที่ยังไม่ป่วย ส่วนใหญ่มักพบกับเชื้อที่ทำให้เกิดโรคของทางเดินระบบอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น วิบริโอซีส ( Vibriosos )
2. ติดต่อโดยผ่านเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ คือ ติดต่อโดยเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่บนวัตถุสิ่งของต่าง ๆ เช่น เครื่องมือในการเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ รางอาหาร , รถขนส่งสัตว์ เป็นต้น
3. ติดต่อโดยสัตว์ที่เป็นตัวแพร่เชื้อ วิธีนี้ติดต่อโดยการสัมผัสกับสัตว์ที่ติดเชื้อ ( infected animals ) แต่ไม่แสดงอาการให้เห็น และจำนำเชื้อไปสู่สัตว์ตัวอื่น ๆ ได้ ทั้งนี้อาจเป็นสัตว์ชนิดเดียวกันหรือไม่ก็ได้ เช่น นกกระจอกสามารถนำเชื้ออหิวาห์ไก่ได้เป็นต้น
4. ติดต่อโดยเชื้อโรคอยู่ในดิน เชื้อโรคบางชนิดสามารถอยู่ในดินได้เป็นเวลานาน ๆ โดยอยู่ในรูปของ สปอร์ เช่น เชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคแอนแทรกซ์ เป็นต้น
5. ติดต่อโดยกินจากอาหารและน้ำ โดยอาหารและน้ำที่ให้สัตว์กินไม่สะอาดมีการปนเปื่อนเชื้อโรคบางชนิดอยู่
6. ติดต่อโดยทางอากาศหรือลมหายใจ เชื้อโรคพวกนี้มีน้ำหนักเบาและมีขนาดเล็กมาก จะการกระจายอยู่ในอากาศ เมื่อสูดดมเข้าไปก็จะทำให้สัตว์ติดโรคนั้น ๆ ได้ง่าย เช่น เชื้อโรควัณโรค และเชื้อที่ทำให้เกิดโรคของระบบทางเดินหายใจ เป็นต้น
7. ติดต่อโดยแมลงบางชนิด เช่น เชื้อโรคโปรโตซัว พวก บาบีเซีย ( babesia ) สามารถถูกพาเข้าสู่สัตว์ที่ยังไม่ป่วย โดยอาศัยแมงดูดเลือดพวกเห็บ ( tick ) จึงเรียกว่าโรคที่เกิดจากเห็บนี้ว่า ทิค ฟีเวอร์ ( tick fever )
8. ติดต่อโดยเชื้อโรคที่พบในร่างกายของสัตว์ปกติ เชื้อบางชนิดอาศัยอยู่ในร่างกายสัตว์ปกติอยู่แล้ว แต่ไม่ทำให้เกิดโรค ยกเว้นในขณะที่สัตว์นั้นอ่อนแอลงเมื่อ เชื้อนี้ก็จะทำให้เกิดโรคขึ้นมาทันที เช่น โรคคอบวมในโค(Hemorrhagic septicemia)

ทางที่เชื้อโรคแพร่
โรคที่ที่เกิดกับสัตว์ทุกชนิดนั้นบางโรคก็ติดต่อไม่ได้ บางโรคก็สามารถที่จะติดต่อกันได้ จึงทำให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโรคจากสัตว์ตัวที่ป่วยไปสู่สัตว์ตัวอื่น ๆ ที่อยู่ด้วยกัน หรืออยู่ใกล้เคียงกันได้ สิ่งที่เราควรจะทราบเกี่ยวกับการแพร่ขยายของเชื้อโรคเพื่อจะได้เป็นแนวทางในการหาวิธีป้องกัน และควบคุมเกี่ยวกับโรคและการแพร่ระบาดของเชื้อโรคที่สำคัญมีอยู่ 2 ทาง คือ
1. ทางที่เชื้อโรคแพร่ระบาดไปได้
1.1 ทางน้ำ ( Water )
1.2 ทางอาหาร ( Food )
1.3 ทางอากาศ ( Air )
1.4 ทางเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ( Inaterment )
1.5 ทางพาหะที่นำไป ( Vactor )
1.6 ทางอุจจาระและปัสสาวะ ( Feces and Urine )
1.1 ทางน้ำ ( Water ) การแพร่ระบาดของเชื้อโรคไปได้ทางน้ำโดยเชื้อโรคสามารถที่จะปะปนอยู่ในน้ำที่สัตว์ป่วยดื่ม หรือ น้ำที่ใช้ในการล้างคอกและโรงเรือนของสัตว์ป่วย เช่น โรคหวัดไก่ โรคบิด เป็นต้น
1.2 ทางอาหาร ( Food ) การแพร่ระบาดของเชื้อโรคสามารถที่จะแพร่ระบาดไปได้โดยติดต่อไปทางอาหาร ที่ให้สัตว์กินได้ด้วย โดยการกินอาหารร่วมกันระหว่างสัตว์ดีและสัตว์ป่วย
1.3 ทางอากาศ ( Air ) การแพร่ระบาดของเชื้อโรคทางอากาศเป็นการแพร่ระบาดที่สำคัญทางหนึ่งและสามารถแพร่ระบาดออกไปได้อย่างกว้างขวางมาก เพราะการแพร่กระจายของเชื้อโรคทางอากาศจะกระจายออกไปได้ง่ายดาย ฟุ้งกระจายออกไปได้เร็วและกว้างไกลมาก
1.4 ทางเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ( Instrument ) การแพร่ระบาดของเชื้อโรคอีกทางหนึ่ง คือ การแพร่ระบาดทางเครื่องมือเครื่องใช้ที่ใช้ในการเลี้ยงสัตว์ เช่น รถเข็นอาหาร ที่ตักอาหาร จอบ เสียม ที่ใช้ในการตักอาหาร และทำความสะอาดคอกต่าง ๆ ระหว่างคอกสัตว์และคอกสัตว์ป่วย เชื้อโรคสามารถติดต่อมากับเครื่องมือเครื่องใช้
1.5 ทางที่พาหะนำไป (Vactor ) การแพร่ระบาดของเชื้อโรคโดยทางที่มีพาหะนำไป เช่น พวก เห็บ เหา ไร หมัด แมลงวัน ยุง หนู นก เป็นต้น พาหะพวกนี้จะเป็นตัวนำเชื้อโรคจากสัตว์ป่วยแพร่ระบาดไปสู่สัตว์ตัวอื่น ๆ ได้
1.6 ทางอุจจาระและปัสสาวะ ( Feces and Urine ) การแพร่ระบาดของเชื้อโรคทางอุจจาระและปัสสาวะนี้เกิดขึ้นได้เนื่องจากสัตว์ป่วยนั้นเกิดโรคที่สามารถที่ติดต่อได้ทางอุจจาระและปัสสาวะได้ เช่น โรค ปากและเท้าเปื่อย ( Food and Mouth Disease ) โรคอหิวาห์ ( Swine Fever ) เมื่อสัตว์ป่วยเป็นโรคนี้แล้วทำให้มีเชื้อโรคปะปนออกมากับอุจจาระและปัสสาวะของสัตว์ป่วย เพราะฉะนั้นจึงทำให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโรคทางอุจจาระและปัสสาวะได้
2. ทางที่เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายสัตว์
การแพร่ระบาดของเชื้อโรคที่แพร่ออกไปแล้วเมื่อตัวสัตว์ได้รับเชื้อโรคต่าง ๆ นั้นแล้ว ก็จะมีวิธีการที่เชื้อโรคจะหาวิธีการหรือหนทางเข้าสู่ตัวสัตว์ให้ได้ ซึ่งวิธีการและหนทางที่เชื้อโรคจะเข้าสู่ตัวสัตว์ได้มี 7 ทาง คือ
2.1 ทางระบบหายใจ ( Respiratory System )
2.2 ทางระบบเครื่องย่อยอาหาร ( Digetive System )
2.3 ทางเยื้อหุ้มต่าง ๆ ( Membrance )
2.4 ทางผิวหนัง ( Skin )
2.5 ทางสายสะดือ และรก ( Umbilical and Placenta )
2.6 ทางอวัยวะสืบพันธุ์ ( Inoculation )
2.7 การฉีดเข้าร่างกาย ( )

2.1 ทางระบบหายใจ ( Respiratory System )
การเข้าร่างกายของเชื้อโรคทางระบบหายใจ จะเกิดขึ้นได้โดยการอยู่ร่วมกันของสัตว์ป่วยและสัตว์ดี แล้วหายใจเอาเชื้อโรคที่แพร่ระบาดทางอากาศ เช่น โรคหวัดใหญ่ วัณโรค
2.2 ทางระบบเครื่องย่อยอาหาร ( Digetive System )
การเข้าสู่ร่างกายของเชื้อโรคทางระบบเครื่องย่อยอาหาร เกิดขึ้นได้เรื่องจากการกินอาหารรวมกัน ของสัตว์ดีและสัตว์ป่วย หรือเกิดจากการกินอาหารของสัตว์ดีที่กินอาหารที่สกปรก มีเชื้อโรคชนิดนั้นเจือปนเข้าไปด้วย ทำให้เกิดโรคได้
2.3 ทางเยื่อหุ้มต่าง ๆ ( Membrance )
การเข้าสู่ร่างกายของเชื้อโรคทางเยื่อบุนั้น ๆ เกิดได้เนื่องจากเยื่อหุ้มนั้น หรืออวัยวะส่วนที่ได้รับเชื้อโรคแล้วเชื้อโรคผ่านเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อหุ้มอวัยวะนั้น ๆ เลย เช่น เยื่อหุ้มตา
2.4 ทางผิวหนัง ( Skin )
การที่เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายสัตว์ทางผิวหนังนี้ได้ก็เป็นวิธีการหนึ่ง ซึ่งผิวหนังตามปกติของคนและสัตว์จะสามารถป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ดีพอสมควร ยกเว้นในกรณีที่ผิวหนังได้รับอันตรายเกิดการฉีกขาดขึ้น จะทำให้ผิวหนังเป็นแผลและเป็นทางที่เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย
2.5 ทางสายสะดือ และรก ( Umbilical and Placenta )
วิธีการที่เชื้อโรคจะเข้าสู่ตัวแม่ทำให้เกิดโรคแก่แม่สัตว์จนเชื้อโรคนั้นเข้าสู่กระแสโลหิตของแม่ แล้วติดต่อไปยังลูกที่อยู่ในครรภ์ ได้โดยทางสายสะดือและรก เพราะว่าการติดต่อส่งอาหารและออกซิเจนจากแม่ไปสู่ลูกอ่อนได้โดยทางสายสะดือนี้ จึงเป็นเหตุให้เชื้อเข้าสู่ลูกอ่อนทางสายสะดือได้ด้วย
2.6 ทางอวัยวะสืบพันธุ์ ( Inoculation )
เป็นโรคที่ติดต่อกันได้โดยการผสมพันธุ์ เช่น โรคบรูเซลโลซีส โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ต่าง ๆ
2.7 การฉีดเข้าร่างกาย ( )
การฉีดเข้าร่างกาย ได้แก่ทดลองฉีดเชื้อเข้าร่างกายสัตว์ เพื่อการทดลองเรื่องโรคต่าง ๆ